What to prepare for Hybrid Working

Checklist 5 สิ่งต้องมีก่อนปรับใช้ Hybrid Working ในบริษัท

ณ ตอนนี้จะไม่พูดถึงคงไม่ได้กับการทำงานแบบ Hybrid Working การทำงานที่ออฟฟิศและที่บ้านสลับกันไป เนื่องจากสถานการณ์โควิดในปัจจุบันทำให้พนักงานไม่สามารถไปทำงานที่ออฟฟิศได้แบบ 100% จึงเกิดเป็นเทรนด์การทำงานแบบใหม่นี้ขึ้นเรียกว่า การทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working) ซึ่งในปัจจุบันหลายบริษัทได้นำการทำงานแบบ Hybrid Working นี้มาปรับใช้กันไม่น้อยเพราะวิธีนี้ถือเป็นหนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์โควิดนี้ได้ มาดูไปพร้อมกันเลยว่าหากคุณต้องการปรับเปลี่ยนบริษัทให้เข้าสู่ Hybrid Working คุณจำเป็นจะต้องมีอะไรบ้าง? 1. มีซอฟต์แวร์ที่ช่วยตอบโจทย์ในการทำงาน – Google Workspace เมื่อโควิดไม่ดีขึ้นสักที เราก็ต้องปรับวิถีการทำงานโดยการสลับไปทำงานที่ออฟฟิศบ้าง ทำงานที่บ้านบ้างเพื่อช่วยกันลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อนี้ ดังนั้นการมีซอฟต์แวร์ เครื่องมือ หรือเทคโนโลยีที่ดีจะช่วยให้การทำงานของคุณง่ายขึ้น ใช้งานสะดวก และไม่ส่งผลกระทบต่องานหากคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ่อย ๆ Google Workspace เครื่องมือที่ Demeter ICT กำลังใช้งานอยู่นั้นถือว่าตอบโจทย์มาก ๆ เพราะเป็นการทำงานร่วมกันบนโลกออนไลน์แบบ Real time collaboration และยังมีหลากหลายฟังก์ชันให้คุณได้เลือกใช้ได้ตามความต้องการของแต่ละแผนก ไม่ว่าจะทีมไหนก็สามารถนำเครื่องมือจาก Google Workspace มาใช้ทำงานได้อย่างราบรื่น มีแอปพลิเคชันและฟังก์ชันเด็ด ๆ อะไรบ้าง? คลิกเลย! 2. จัดสรรจำนวนพนักงานให้เหมาะสม จำนวนพนักงานถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่แอบสร้างปัญหาให้บริษัทอยู่บ่อยครั้งเพราะโควิดเป็นเหตุให้หลายบริษัทจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง ทำให้งาน Overload ในบางตำแหน่งก่อเกิดความไม่พอใจและทำให้ประสิทธิผลของงานออกมาได้ไม่เต็มที่นัก ดังนั้นบริษัทควรมีการจัดสรรพนักงานที่ดีเพื่อเป็นการช่วยเหลือพนักงานเองและเพื่อรักษา Productivity ของบริษัทให้อยู่ในระดับที่ดีอยู่เสมอ 3. มีมาตรการควบคุมความปลอดภัยและดูแลความสะอาด การดูแลรักษาความสะอาดโดยเฉพาะในยุคโควิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก บริษัทต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเช่น มีการเตรียมเจลแอลกอฮอล์ให้พนักงานในบางจุด ไม่อนุญาตให้พนักงานถอดหน้ากากอนามัยหากไม่จำเป็น และไม่ควรให้พนักงานรับประทานอาหารหรือขนมขบเคี้ยวขณะทำงาน เป็นต้น 4. จัดโต๊ะทำงาน/ ที่นั่งแบบ Social distancing ไม่ว่าจำนวนพนักงานจะเท่าใด เพิ่มขึ้น เท่าเดิม หรือลดลง ก็ควรนั่งทำงานกันแบบเว้นระยะ (Social distancing) การขยายออฟฟิศคงไม่ใช่คำตอบที่ดีสักเท่าไหร่เพราะมีแต่จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเท่านั้น การจัดระยะการนั่งจึงถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อของโควิดได้ หากพนักงานนั่งห่างกันก็ทำให้เปอร์เซ็นการติดเชื้อมีน้อยลง จัดตารางให้พนักงานเข้าออฟฟิศไม่ตรงกันและนั่งแยกกัน แค่นี้ก็สามารถทำงานแบบ Hybrid working ได้อย่างสะดวกมากขึ้นแล้ว 5. จัดเตรียมอุปกรณ์สำนักงานแจกจ่ายให้พนักงาน บริษัทควรจัดเตรียมและแจกจ่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานให้กับพนักงานเพื่อที่พนักงานจะสามารถพกพาอุปกรณ์กลับไปทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวก เช่น แล็ปท๊อปและเมาส์ เพราะหากบริษัทไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ให้ ข้อมูลของบริษัทอาจปะปนกับข้อมูลส่วนตัวของพนักงานได้ อีกทั้งยังทำให้ข้อมูลบริษัทเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมได้ง่ายเนื่องจากอุปกรณ์ส่วนตัวไม่มีการควบคุมหรือระบบป้องกันที่ดีพอนั่นเอง จากข้อมูลด้านบนจะเห็นได้ว่า...

Continue reading

3 เคล็ดลับ เพิ่มประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าสำหรับธุรกิจ B2C ในยุคดิจิทัล

“การเติบโตและการอยู่รอดสำหรับธุรกิจ B2C คือ เราต้องคาดการณ์ความคาดหวังและความต้องการของลูกค้าให้ได้ ในช่วงเวลาที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด” คิดว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า B2C แต่ทุกท่านคงกำลังต้องการหาคำตอบหรือเคล็ดลับว่าเราจะเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างไร? ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าในตอนนี้พฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ในโลกของยุคดิจิทัลที่อะไรก็รวดเร็วไปซะหมด แค่เพียงไม่กี่คลิก ไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้และนั่นเองที่ทำให้ความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนไป ด้วยความที่ธุรกิจ B2C (Business to Customer) ต้องเจอกับลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าลูกค้าที่เข้ามานั้นมีความคาดหวัง ความต้องการที่หลากหลาย ดังนั้นการที่ธุรกิจจะเติบโตและดำเนินต่อไปได้นั้น จะต้องเข้าใจความคาดหวัง ความต้องการพื้นฐานของลูกค้าและมองหาโซลูชันที่จะทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางจากธุรกิจของเรา เพราะถ้าหากธุรกิจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและมอบประสบการณ์ที่ดีให้ได้ ลูกค้าก็พร้อมที่จะย้ายไปหาคู่แข่งได้ทันที และที่แย่ที่สุดคือลูกค้านำไป รีวิว แชร์ หรือเล่าปากต่อปากให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจได้ ดังนั้น 3 เคล็ดลับ ต่อไปนี้ จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าของธุรกิจ B2C ในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1. พร้อมช่วยเหลือลูกค้าในขณะที่กำลังซื้อทันที จากผลสำรวจของ Cart Abandonment ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจ B2C ในยุคดิจิทัล คือการที่ลูกค้าละทิ้งรถเข็นขณะที่กำลังช้อปปิ้งอยู่บนหน้าเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ และรถเข็นกว่า 88% จะถูกยกเลิกในเวลาต่อมา สาเหตุเกิดจากลูกค้ามักเกิดข้อสงสัย คำถาม หรือความลังเลในระหว่างการซื้อสินค้า เพราะฉะนั้นช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่สำคัญมาก การใช้ Live Chat จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ B2C ในยุคดิจิทัล ที่จะช่วยซัพพอร์ตลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งเป็นการขายและสนับสนุนลูกค้าเชิงรุกเพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าตัดสินใจและปิดการขายได้เร็วขึ้น เพราะถ้าปัญหาหรือข้อสงสัยของลูกค้านั้นถูกยืดเวลาออกไป อาจจะทำให้ลูกค้าเลิกสนใจและยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าได้เช่นกัน Modsy ผู้ให้บริการด้านการตกแต่งภายในออนไลน์ ใช้ฟีเจอร์ Live Chat ของ Zendesk (Customer Service Software) เพื่อให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับทีมนักออกแบบ ในขณะที่พวกเขากำลังดูว่าจะซื้อบริการแบบใด ช่วยกระตุ้น Conversion มากขึ้นและลดอัตราการยกเลิกของรถเข็นจากลูกค้าได้ 2. ให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะคำสั่งซื้อได้แบบเรียลไทม์และชัดเจน อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการที่จะทำให้ธุรกิจแบบ B2C ดำเนินและเติบโตต่อไปได้ คือ การซื้อซ้ำ ไม่ใช่ว่าพอปิดการขายจากลูกค้าได้แล้วเราก็ไม่แยแสหรือว่าทิ้งเขาไว้กลางทางแบบนั้น เราต้องนึกว่าถ้าเราเป็นลูกค้าเอง สิ่งที่เราต้องการให้ธุรกิจบริการเรามีอะไรบ้าง? การติดตามสถานะการสั่งซื้อหรือดูข้อมูลประวัติการซื้อต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ลูกค้าคาดหวังและต้องการให้ธุรกิจนั้นมี เพราะจะให้ลูกค้ามาพิมพ์ถามทีมซัพพอร์ตลูกค้าตลอดก็คงจะไม่ดีเพราะจะทำให้เสียเวลาทั้งลูกค้าและทีมงานซัพพอร์ตอีกด้วย ลูกค้าที่ใช้งาน Zendesk หลาย ๆ ท่านที่เป็นธุรกิจแบบ...

Continue reading