Generative AI คืออะไร ?
Generative AI คือ แขนงหนึ่งของ Artificial Intelligence (AI) ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ เสียง ข้อความ โมเดลสามมิติ และอื่น ๆ
ตัวอย่างที่คุณสามารถเห็นได้ชัดคือ ChatGPT แน่นอนว่า 90% ของคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ คงเคยใช้งาน ChatGPT กันมาบ้างแล้ว และคงทราบวิธีการทำงานของ ChatGPT ว่าเป็น AI ที่สามารถตอบคำถามหรือให้ข้อมูลต่าง ๆ ได้เพียงแค่คุณพิมพ์ (Input) สิ่งที่คุณต้องการลงไปในระบบ จากนั้น Generative AI ใน ChatGPT ก็จะทำงานโดยการประมวลผลจากข้อมูลที่มีอยู่มาสร้างสรรค์เป็นคำตอบให้คุณได้เลยทันที
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ Google Workspace ที่ไม่นานมานี้ Google ก็ได้ประกาศออกมาว่า จะมีการนำ Generative AI มาช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการทำงานให้ผู้ใช้บริการสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดียิ่งขึ้น เช่น การใช้ Generative AI ช่วยสร้างเอกสารและสร้างสไลด์นำเสนองานได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าตอนนี้หลายธุรกิจเริ่มมีการนำ Generative AI เข้ามาใช้งานกันแล้ว ซึ่งต้องบอกเลยว่า Generative AI จะไม่ใช่แค่เทรนด์ที่มาแล้วหายไปแต่อย่างใด แต่ Generative AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ผลักดันธุรกิจให้สามารถก้าวหน้าไปอย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นองค์กรใดที่นำ Generative AI เข้ามาปรับใช้จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้เร็วกว่าคู่แข่งอื่นในท้องตลาดอย่างแน่นอน
Generative AI ทำอะไรได้บ้าง ?
1. ช่วยแนะนำไอเดียและสร้างสรรค์เนื้อหาที่แปลกใหม่
หากคุณเป็นสายคอนเทนต์ต้องบอกเลยว่า Generative AI นี้เกิดมาเพื่อคุณเลยนะ ! อย่าเข้าใจผิดว่า Generative AI จะมาแทนที่คุณได้ แต่ Generative AI จะมาช่วยสร้างสรรค์ผลงานของคุณให้ดียิ่งขึ้นต่างหาก เพราะเวลาใดที่คุณนึกไอเดียเกี่ยวกับงานไม่ออกหรือไม่รู้ว่าจะเริ่มโปรเจกต์อย่างไรและตรงไหนดี คุณสามารถใช้ Generative AI ช่วยนำทางให้คุณได้เลยทันที เช่น การขอไอเดียสำหรับคอนเทนต์เกี่ยวกับการสร้างแอปพลิเคชัน หรือหากคุณใช้งาน Google Workspace Enterprise อยู่ คุณก็สามารถสั่ง Google Sheets ให้ช่วยสร้าง Agenda ได้เลย เป็นต้น
2. ทำงานเสร็จได้อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่นาที
สายกราฟิกและสายคอนเทนต์ต้องร้อง “โอ้โห !” เพราะจากเดิมที่คุณต้องคอยออกแบบไอเดียและแก้ไขงานให้ตรงตามใจลูกค้า ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนเลยทีเดียว Generative AI จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานเหล่านี้ไปได้หลายเท่า เพราะคุณสามารถให้ AI สร้างไอเดียต้นแบบหรือตัดต่องานให้คุณแบบเบื้องต้นได้ เรียกได้ว่าประหยัดเวลาไปเยอะ
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการเขียนอีเมล ในบางโอกาสคุณอาจจะต้องเขียนอีเมลที่มีความทางการมาก ๆ หรืออาจต้องใช้ภาษาที่คุณไม่ถนัด คุณก็สามารถให้ Generative AI ช่วยได้เช่นกัน
3. เพิ่มประสิทธิภาพของงานให้มีความมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
Generative AI คือ AI ที่ได้รับการฝึกมาเพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มีความชำนาญจนกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถคิดค้นและสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ได้เกือบเทียบเท่ามนุษย์ ดังนั้นคุณจึงสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่คุณได้รับจาก AI นั้นเป็นข้อมูลที่ได้ถูกกลั่นกรองและประมวลผลออกมาจนได้คำตอบที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถนำข้อมูลนั้นไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและดูมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นอีกด้วย
4. ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม
หากองค์กรของคุณได้มีการนำ Generative AI ไปปรับใช้กับการทำงานภายในองค์กร AI จะสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในองค์กรมาสร้างสรรค์เป็นข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับลูกค้ารายต่าง ๆ ได้ ซึ่งข้อมูลที่ใช้ติดต่อลูกค้านั้นก็จะมีความเฉพาะตัวมากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและได้รับประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม
ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวไปข้างต้น จึงสรุปได้ว่า “Generative AI สามารถสร้างข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและช่วยให้คุณสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว” ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพียงแค่มี Generative AI คุณก็สามารถให้สิ่งเหล่านี้แก่ลูกค้าได้โดยที่ไม่ต้องลงแรงเลยแม้แต่นิดเดียว
ตัวอย่างความสามารถของ Generative AI
- สร้างคอนเทนต์
- สร้างรูปภาพ
- สร้างเสียง
- สร้างวิดีโอ
- ช่วยเขียนโค้ด
- ช่วยประมวลผลและคาดคะเน เป็นต้น
ทั้งนี้ในฐานะที่เราเป็นผู้นำทางด้าน Business Digital Transformation เราจึงได้คัดสรรแพลตฟอร์มเพื่อการทำงานที่มีการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานในองค์กร ดังนี้
- Google Workspace มี AI ช่วยสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็ว
- AppSheet มี AI ช่วยสร้างสรรค์แอปพลิเคชันเพื่อการทำงาน
- Zendesk มี AI ช่วยเรื่องการบริการลูกค้า
- Braze มี AI ช่วยเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสม
ปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ฟรี โทร 02-030-0066