ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของประชากรในตลาดแรงงาน และความคาดหวังของพนักงานที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่างก็สร้างความกังวลใจให้เจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารอยู่ไม่น้อยเลย การทำความเข้าใจและตั้งรับกับเทรนด์หรือทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้น Demeter ICT จึงได้นำบทความจาก Forbes มาให้ทุกท่านได้สำรวจ ศึกษา และเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเทรนด์การทำงานในปี 2025 นี้ไปพร้อมกัน
1. Reskilling และ Upskilling: กุญแจสำคัญสำหรับอนาคต
AI ได้เข้ามามีอิทธิพลและเปลี่ยนแปลงการทำงานไปในหลายแง่มุม ทำให้การพัฒนาทักษะเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่าเดิม ซึ่งในปี 2025 ทักษะบางอย่างอาจกลายเป็นล้าสมัยไป แต่ในขณะเดียวกันโอกาสมากมายก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้นบริษัทที่สนับสนุนและมอบโอกาสการเรียนรู้ให้พนักงานจะสามารถดึงดูดบุคลากรชั้นนำเข้ามาร่วมพัฒนาบริษัทได้ นำไปสู่ความสำเร็จทั้งในด้านบุคลากรเองและบริษัทด้วย
2. ทำงาน 4 วัน กระตุ้น Productivity และ Work-Life Balance ได้ดี
การทำงาน 4 วัน/สัปดาห์กำลังได้รับแรงผลักดันจากบริษัทหลายแห่ง ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายโครงสร้างการทำงานแบบดั้งเดิมอย่างมากเลยทีเดียว ในปี 2025 บริษัทต่างๆ จะเริ่มมีการนำโมเดลนี้มาใช้มากขึ้น โดยจะยกระดับการเป็นอยู่ของพนักงานให้มี work life balance ที่ดี เพราะการมีชั่วโมงทำงานที่เข้มข้นและได้รับการพักผ่อนที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่ม Productivity ได้ในทุกอุตสาหกรรม
3. The Gig Economy 2.0: จากงานเสริมสู่เส้นทางอาชีพ
เศรษฐกิจแบบ Gig (การทำงานแบบอิสระ) จะได้รับความนิยมมากขึ้น คนที่เคยทำงานประจำก็อาจต้องการความยืดหยุ่น ความอิสระ และความท้าทายในการทำงาน คำว่า “Job for life” ก็อาจจะไม่มีอีกต่อแล้ว ฉะนั้นการทำงานแบบ Gig จึงกลายมาเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังมาแรง ซึ่งในปีหน้าจะมีบุคลากรมากความสามารถสนใจการทำงานรูปแบบนี้อย่างแน่นอน ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรประจำในสาขาต่าง ๆ เช่น บุคลากรด้านการดูแลสุขภาพ (Healthcare), ด้าน AI, และด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้บริษัทเองจึงต้องปรับตัวด้วยการมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสในการทำงานแบบโปรเจกต์ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
4. พลังแห่งการผสมผสาน มนุษย์และ AI ปลดล็อกศักยภาพใหม่
AI กำลังเปลี่ยนจากการทดแทนมาเป็นการเสริมศักยภาพมนุษย์ ส่งเสริมทั้งประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเมื่อ AI เริ่มเข้ามาช่วยจัดการงานที่เป็น routine มากขึ้น มนุษย์จึงสามารถโฟกัสไปที่การสร้างนวัตกรรมและการสร้างปฏิสัมพันธ์ในบริษัท เรียกได้ว่า “การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI นี้เองไม่ใช่แค่การอยู่ร่วมกัน แต่เป็นการปลดล็อกศักยภาพใหม่ๆ ” ซึ่งความสำเร็จในยุคใหม่นี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการสื่อสารที่ละเอียดอ่อน ความฉลาดทางอารมณ์ และการคิดเชิงกลยุทธ์จากมนุษย์ด้วย
5. ทักษะความเป็นผู้นำที่ไม่ใช่เพียงแค่ Hard skill
ผู้นำในยุค 2025 ไม่เพียงแต่ต้องเชี่ยวชาญด้านทักษะการทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องส่งเสริมความสัมพันธ์ทางอารมณ์และสร้างทีมให้มีความสามัคคีด้วย เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI และการให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เป็นต้น การบริหารและจัดการทีมที่ดีนี้จะช่วยผลักดันให้พนักงานสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เกิดความสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความต้องการของมนุษย์ในยุค AI
6. เทคโนโลยีการทำงานออนไลน์แนวใหม่
ถึงแม้ว่าแนวคิดการทำงานแบบ Metaverese จะถูกลดความนิยมลงไป แต่คอนเซปต์หลักยังคงถือว่ามีประโยชน์และสามารถนำมาต่อยอดได้ ส่งผลให้ในปี 2025 แนวคิด “การทำงานนอกออฟฟิศ” จะถูกผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยี VR และ AR เพื่อให้มนุษย์สามารถทำงานได้แบบไร้รอยต่อจากสถานที่ใดก็ได้ เกิดเป็นคำนิยามการทำงานระยะไกลแบบใหม่ที่ผสมผสานระหว่างการพูดคุยแบบตัวต่อตัวเข้ากับความยืดหยุ่นของเทคโนโลยีดิจิทัล
7. AI บทบาทสำคัญ พยุง Human resources
การใช้ AI เข้ามาช่วยงานในฝ่ายทรัพยากรมนุษย์กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดย AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาบุคลากร การบริหารผลงาน การสร้างความมีส่วนร่วมของพนักงาน และการพัฒนาทักษะของบุคลากร เป็นต้น ซึ่งการมี AI เข้ามาช่วยนี้จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญฝั่ง HR สามารถโฟกัสไปที่กิจกรรมเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น กลายเป็นบทบาทสำคัญในการบริหารบุคลากรของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. ความยืดหยุ่นดึงดูดบุคลากรระดับสูง
การที่บริษัทพยายามโน้มน้าวให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานแบบเต็มเวลา ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะพนักงานต่างก็ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน ด้วยเหตุนี้ Hybrid work จึงกลายมาเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานของพนักงาน ดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูง อีกทั้งการทำงานรูปแบบนี้ยังถูกกล่าวว่าเป็นมาตรฐานการทำงานแบบใหม่อีกด้วย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกแน่นแฟ้นกับเพื่อนร่วมงานและวัฒนธรรมของบริษัทมากขึ้น
จากข้อมูลด้านบน จะเห็นได้ว่าอนาคตของการทำงานจะถูกกำหนดด้วยความสามารถในการปรับตัว การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ และการให้ความสำคัญกับศักยภาพของมนุษย์ อีกทั้งการสร้างสถานที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นจะสร้างแรงบันดาลใจ สร้างคุณค่า และตอบสนองกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของทั้งบุคคลและบริษัทนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Forbe: https://www.forbes.com/sites/bernardmarr/2024/10/07/8-workplace-trends-that-will-define-2025/

ระบบอีเมลองค์กรและชุดแอปพลิเคชันเพื่อการทำงานร่วมกัน ตอบโจทย์สำหรับทุกธุรกิจ
บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด - พันธมิตรระดับ Google Premier Partner
ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นทางการ
