- ทราบหรือไม่? หลังจากวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมาถึงสองปีนี้ จากการสำรวจพบว่ามี 83% ขององค์กรที่คิดว่าตนประสบความสำเร็จในการทำงานแบบรีโมทหรือทำงานทางไกล
- 99% ของพนักงานอยากที่จะ Work From Home อย่างน้อยตามโอกาสบางครั้งหรือตลอดชีวิต
- และ 68% ขององค์กรที่คิดว่าการทำงานทางไกลยิ่งผ่านไปก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายขึ้น ถึงขั้นที่ว่ามี 26.7% ที่เชื่อว่าแม้ในปีหน้าทีมก็จะยังทำงานทางไกลแบบเต็มเวลาอยู่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการ Work From Home ได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งความปกติในช่วงเวลานี้ไปแล้ว กระทั่งในอนาคตข้างหน้าเองมันก็จะยังไม่หายไปไหน หากแต่ในขณะเดียวกันการทำงานทางไกลก็ใช่จะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย
ในบทความนี้ เราจะมาดูข้อดี-ข้อเสียของ Work From Home รวมถึงข้อแนะนำจาก Zendesk ในการแก้อุปสรรคที่ว่านี้กัน
ข้อดีของ Work From Home
1. ให้ความยืดหยุ่น
จากการสำรวจของ Buffer พบว่า ในบรรดาผลประโยชน์ทั้งหมดของ Work From Home หัวข้อที่พนักงานลงความเห็นว่าเป็นข้อดีสูงที่สุดก็คือความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดสรรเวลาหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ
การทำงานทางไกล (Remote Working) หรือการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ช่วยให้พนักงานมีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาแต่งหน้าทำผม ออกไปฝ่าการจราจรที่ติดขัดยามเช้าและยังสามารถจัดสรรสภาพแวดล้อมตอนทำงานได้ตามใจ อาจจะเปิดเพลงขณะทำงานคลอตามไปด้วยหรือตอบอีเมลทั้งที่มีแมวนอนบนตักก็สามารถทำได้
ในส่วนขององค์กรเองก็ได้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นจากการทำงานทางไกลเช่นกัน เมื่อมีความยืดหยุ่นด้านการจัดสรรเวลามากขึ้น พนักงานก็มีแนวโน้มจะมีสมาธิในการทำงานในช่วงเวลาที่ตนถนัดมากที่สุด จากการวิจัยของ Prodoscore ยังพบว่าพนักงานจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในวันอังคาร พุธ พฤหัส ตามลำดับ
2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ Prodoscore ยังสรุปผลการวิจัยได้อีกว่าพนักงานที่ทำงานทางไกล มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าที่ทำตอนอยู่ในออฟฟิศเสียอีก ข้อสรุปนี้สอดคล้องกับผลการสำรวจของ Airtasker ที่ว่าพนักงานสามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ยถึง 8.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จากการเดินทางไปบริษัท และพนักงานที่ทำงานทางไกลจะทำงานมากกว่าพนักงานที่ประจำอยู่ออฟฟิศเฉลี่ย 1.4 วันต่อเดือน หรือกล่าวได้ว่าพนักงานที่ทำงานทางไกล มีแนวโน้มจะประหยัดเวลาที่ใช้เดินทางมาใช้ในการทำงานให้ได้นานมากยิ่งขึ้น
การทำงานทางไกลยังช่วยลดข้อขัดแย้งของพนักงานในบริษัทและช่วยให้พนักงานฟุ้งซ่านน้อยลงได้อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาของ UC Irvine พบว่าพนักงานมักใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาที 15 วินาที หลังถูกทำให้เสียสมาธิ ในการกลับมาโฟกัสที่งานอีกครั้ง
ไม่เพียงเท่านั้น จากรายงานของ Robert Half ยังได้สรุปผลว่า 63% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยว่าตนทำงานได้มีประสิทธิภาพในห้องเดี่ยวที่ออฟฟิศหรือที่บ้าน ทั้งนี้ก็เพราะปราศจากเสียงรบกวนจากเพื่อนร่วมงานนั่นเอง
3. ลดค่าใช้จ่าย
การมีนโยบายให้พนักงานทำงานทางไกลหรือทำงานที่บ้านทำให้ทั้งบริษัทและพนักงานสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้
แน่นอนว่าสำหรับพนักงาน เมื่อทำงานที่บ้านก็ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน อาหารกลางวัน หรือต้องซื้อชุดใส่ไปทำงานบ่อยครั้ง และบางทีอาจยังมีค่าจ้างเลี้ยงดูบุตรต่าง ๆ นานาอีก จากวิจัยของ FlexJobs พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วพนักงานสามารถประหยัดเงินได้ถึง 4,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 120,000 กว่าบาทไทย) จากการทำงานที่บ้าน
ในส่วนของทางบริษัทเองก็ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน ยังมีด้านค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถลดไปได้ โดยจากการวิจัยแล้วประมาณได้ว่าบริษัทจะสามารถลดไปได้เฉลี่ยถึง 11,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 340,000 กว่าบาทไทย) จากการให้พนักงานทำงานที่บ้านเป็นเวลาครึ่งหนึ่งจากการทำงานทั้งหมด
แล้วอะไรที่เป็นข้อเสียของ Work From Home ล่ะ?
แม้ว่า Work From Home จะมีข้อดีที่น่าสนใจมากมาย ทว่าก็ยังมีข้อเสียอยู่ เรามาดูข้อเสียที่ว่าพร้อมคำแนะนำในการแก้ไขจาก Zendesk กัน
1. ขาดปฏิสัมพันธ์
ข้อเสียที่ชัดเจนที่สุดจากการทำงานทางไกลก็คือการขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จากรายงานของ Buffer พบว่ามี 36% ของพนักงานที่ Work From Home เลยทีเดียวที่ต้องดิ้นรนกับความเหงาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานยาก
แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้มนุษย์เราเข้าถึงกันได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เนตหรือวิดีโอคอลต่าง ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทียบกับเดินไปพูดคุยเล่นที่โต๊ะแล้วก็ยังถือเป็นอะไรที่ยากกว่าอยู่ดี ก่อนจะมีโควิด พนักงานที่เดิมทีทำงานทางไกลยังสามารถบาลานซ์เรื่องการเข้าสังคมได้บ้าง แต่เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ที่การเข้าสังคมเป็นเรื่องยาก การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนก็ลดน้อยลงตามไปด้วย การจะให้พนักงานยังคงความเป็นทีมไว้ได้จึงถือเป็นอะไรที่ท้าทายอยู่เหมือนกัน
เคล็ดลับที่น่าสนใจจาก Zendesk
- กำหนดให้มีเวลาพักสัก 10 นาที ให้พนักงานมารวมกลุ่มคอลวิดีโอกัน พูดคุยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน เพื่อไม่ให้ห่างเหินกันเกินไป
2. มี Work-life Balance น้อยลง
จริงอยู่ว่าจากวิจัยแล้ว Work From Home ช่วยให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็จริง แต่จากการสำรวจของ Airtasker ก็ยังพบอีกด้วยว่าเกือบ 1 ใน 3 ของพนักงานที่ทำงานทางไกลทั้งหมดมี Work-life Balance ย่ำแย่ เทียบกับทำงานที่ออฟฟิศแล้ว เมื่อต้องเริ่มและจบงานในสถานที่เดียวกันทำให้สมองสั่งปิด ‘โหมดการทำงาน’ ยากตามไปด้วย แม้จะเลยเวลาเลิกงานไปแล้วก็ตาม
ทริคเล็ก ๆ ที่จะช่วยปรับปรุง Work-life Balance ให้ดีขึ้น
- หลังตื่นนอนพยายามทำทุกอย่างให้เป็นกิจวัตรแบบเดิมกับตอนเข้าออฟฟิศให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตื่นนอน ทานอาหารเช้า อาบน้ำแต่งตัว คุณยังอาจลองเดินเล่นไปรอบ ๆ ให้เหมือนตอนเดินเข้าตึกทำงานเพื่อให้สมองเปลี่ยนจากโหมดอยู่บ้านเป็นโหมดทำงานได้
- สร้างมุมสำหรับทำงานโดยเฉพาะ ที่ไม่ใช่บนเตียงหรือบนโซฟา
- กำหนดเวลาพัก เวลาทำงานให้ชัดเจน บ่อยครั้งที่เมื่อจมอยู่กับงานนานเข้าโดยไม่มีใครมาพูดคุยก็ทำให้เผลอนั่งอยู่หน้าคอมนานเกินไปจนเมื่อยล้าได้ แต่เมื่อกำหนดเวลาพัก เปิดปิดคอมในเวลาเดิมทุกวันก็จะช่วยป้องกันความเหนื่อยหน่ายในแต่ละวันได้เหมือนกัน
- อย่าเช็กอีเมลงานบนเตียงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นแบ่งระหว่าง ‘สมองโหมดทำงาน’ และ ‘โหมดพักผ่อน’ น้อยลงไปอีก และนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพได้
3. สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการทำงาน
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเพียบพร้อมต่อการทำงานที่บ้านเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ หรือต้องแชร์ห้องกับคนอื่น ไหนจะสิ่งเร้าที่พาให้เสียสมาธิได้อย่างเสียงเครื่องซักผ้า เด็กหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง หรือไหนจะบางทีอาจต้องแย่งเน็ตกันใช้กับคนอื่นที่บ้านอีก
มีบางครั้งเหมือนกันที่พนักงานรู้สึกเอ็นดูเวลาเห็นเด็กหรือสัตว์เลี้ยงมาก่อกวนระหว่างประชุมผ่านวิดีโอ แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งก่อกวนเยอะเกินไปก็อาจทำให้มีปัญหาในการทำงานระยะยาวได้ อย่างน้อยที่สุดหากจะจัดพื้นที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพจริง ๆ ก็ต้องหา Wi-fi ที่เสถียรกับห้องเงียบ ๆ สำหรับคุยวิดีโอให้ได้
ในส่วนนี้บริษัทจะช่วยพนักงานอย่างไรได้บ้าง?
- เสนอให้งบพิเศษสำหรับจัดสรรด้านอุปกรณ์การทำงานทางไกล จากผลสำรวจของ Buffer พบว่ามี 75% ของบริษัทที่ไม่จ่ายค่าอินเทอร์เน็ตสำหรับทำงานที่บ้านให้พนักงาน ทว่าอย่างน้อยการช่วยสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์ทั้งนี้ก็เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมให้ระบุ ‘เวลาที่ต้องทำงาน’ ชัดเจน ให้พนักงานทำข้อตกลงกับคนที่บ้านหรือคนอื่นที่ต้องแชร์พื้นที่ร่วมกันว่าเวลาไหนกี่โมงถึงกี่โมงที่เป็นเวลาทำงาน เพื่อที่จะได้มีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบได้
- ลงทุนไปกับหูฟังตัดเสียงดี ๆ สักตัวให้พนักงาน เพื่อที่พนักงานจะไม่ต้องไปเสียสมาธิกับเสียงรบกวนในบ้านและโฟกัสที่งานได้
และทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อดี ข้อเสียของ Work From Home และเคล็ดลับดี ๆ จาก Zendesk นอกจากทริคเหล่านี้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถทำงานทางไกลได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายงาน Customer Service ที่ต้องแข่งกับเวลาด้วยแล้วล่ะก็ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Zendesk Customer Service Software ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ลดระยะเวลาตอบกลับและทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบได้ที่นี่เลย
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ราคา Zendesk พร้อมโปรโมชันพิเศษ โทร. 02 030 0066
- Facebook Page : @demeterict
- support@dmit.co.th
Official LINE

- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ราคา Zendesk พร้อมโปรโมชันพิเศษ โทร. 02 030 0066
- Facebook Page : @demeterict
- support@dmit.co.th
Official LINE
