การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) เป็นหนึ่งในการส่งข้อความบนช่องทางดิจิทัลแบบดั้งเดิม ที่มีผลตอบแทนจากการลงทุนสูง เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ จึงเป็นวิธีที่มีพลังในการเข้าถึง สร้างการมีส่วนร่วม และเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าได้
พวกเราส่วนใหญ่ส่งอีเมลเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าแอปแชท โปรแกรมส่งข้อความบนมือถือรวมถึงโซเชียลมีเดียจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อีเมลยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อ จากผลสำรวจในปี 2022 มีผู้ใช้อีเมล 4.26 พันล้านคนทั่วโลก และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.73 พันล้านคนภายในปี 2026 แม้ว่าอีเมลจะมีความเรียบง่าย แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าอีเมลเป็นช่องทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งที่สุด: ที่อยู่ของอีเมลสามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวางและสร้างผลกำไรมหาศาล เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผลหลายประการ (เช่น ข้อมูล ข้อเสนอ ชุมชน และการซื้อขาย)
ดังนั้นธุรกิจจะใช้อีเมลในการเชื่อมต่อกับลูกค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร? บทความนี้จะกล่าวถึง ความสำคัญของการทำ Email Marketing วิธีการกำหนดกลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว วิธีวัดประสิทธิภาพและแสดงตัวอย่างแคมเปญเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจของคุณ
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย!
กลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) คืออะไร?
กลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) คือ กระบวนการที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านช่องทางอีเมล โดยกลยุทธ์นี้จะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอีเมลที่จะส่ง จำนวนอีเมลที่จะส่ง ส่งไปหาใครและส่งเมื่อไหร่ เพื่อให้กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากที่สุดจะต้องประกอบไปด้วย
1. การตั้งเป้าหมายและวิธีวัดผล
การตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้นักการตลาดรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร? และทำเพื่ออะไร? และเราจะวัดผลอย่างไร? เพื่อให้ง่ายต่อการดูว่าแคมเปญหรืออีเมลที่เราส่งไปหาลูกค้านั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ กลยุทธ์แบบใดที่ใช้ได้ผล อะไรที่ไม่ได้ผล ทำให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์ Email Marketing ที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งขึ้นได้
2. ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ
หากคุณต้องการให้ลูกค้ารักและภักดีกับแบรนด์ของคุณ การทำความเข้าใจถึงความต้องการและบุคลิกของลูกค้า คือ กุญแจสำคัญ ยิ่งถ้าคุณสามารถแบ่งกลุ่มอีเมลของลูกค้าตามความต้องการหรือบุคลิกของพวกเขาได้ละเอียดมากเท่าไหร่ คุณก็จะมีโอกาสในการสร้างประสบการณ์ที่ดีแบบ Personalized และความภักดีต่อแบรนด์ของคุณได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะลูกค้าจะรับรู้ได้ว่าคุณให้ความสำคัญกับพวกเขา รู้ว่าเขาต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไรจากแบรนด์ของคุณ
3. การแบ่งกลุ่มลูกค้า
เครื่องมือการสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบเฉพาะตัว (Personalized Customer Engagement Platform) อย่าง Braze ช่วยให้นักการตลาดสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าและส่งข้อความที่มีความละเอียดและเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้าบางคนมักมีส่วนร่วมดีกับแบรนด์ในตอนเช้า ลูกค้าบางคนไม่ต้องการโฆษณาที่เกี่ยวกับการขายเลยหรือลูกค้าบางกลุ่มจะเปิดเฉพาะโปรโมชันที่เกี่ยวกับรองเท้าเท่านั้น พบว่ายิ่งคุณมีข้อมูลมากเท่าไร คุณก็ยิ่งสามารถส่ง Email Marketing ถึงกลุ่มลูกค้าได้ละเอียดและตรงกับความต้องการยิ่งขึ้นเท่านั้น
4. การผสาน Email Marketing เข้ากับปฏิทินทางการตลาด
การผสานเอากลยุทธ์ Email Marketing เข้ากับปฏิทินการตลาดทั้งหมด ช่วยให้คุณสามารถวางแผน แจกจ่ายงานและติดตามผลได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เพราะบางธุรกิจอาจใช้ธีมของแคมเปญการตลาดที่สอดคล้องกันในทุกช่องทาง
เช่น ตอนนี้ทางแบรนด์มีแผนจะปล่อยแคมเปญและโฆษณาสินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์อยู่ ซึ่งถ้านักการตลาดมองเห็นภาพรวมของแผนการตลาดทั้งหมด เราก็จะสามารถยิง Email Marketing ที่เป็นโปรโมชันสินค้าเกี่ยวกับสัตว์ให้กับกลุ่มลูกค้าที่เก็บข้อมูลมาจากแคมเปญเหล่านั้นหรือลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์กับแบรนด์ของเรา แทนที่จะส่งอีเมลไปหาคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงหรือไม่เคยซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลยหรือแม้กระทั่งการดูภาพรวมปฏิทิน เช่น วันหยุด การส่งอีเมลในวันหยุดก็อาจจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ามีเวลาที่จะออกไปช้อปปิ้งสินค้าเหล่านี้มากขึ้น มากกว่าเราส่งไปวันทำงาน เป็นต้น
5. การออกแบบและสร้างอีเมลของคุณ
การออกแบบ Email Marketing ที่ดีและน่าสนใจ สามารถกระตุ้นให้ผู้รับหรือลูกค้ามีอัตราการเปิดอ่านที่สูงขึ้น ตั้งแต่การเขียนหัวข้ออีเมลที่น่าดึงดูดไปจนถึงการวางตำแหน่งภาพ สีของภาพ การจัดเรียงข้อความและน้ำเสียงของข้อความในอีเมล ความพยายามในการออกแบบอีเมลทั้งหมดเหล่านี้สามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ การรับรู้และความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ของคุณมากยิ่งขึ้น
กลยุทธ์ Email Marketing สำคัญกับธุรกิจและการตลาดอย่างไร?
การที่ธุรกิจมีกลยุทธ์ Email Marketing ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้ง่ายขึ้นในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกค้าของคุณ การส่ง Email Marketing ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นการขายของเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความรู้จักลูกค้าและเข้าใจความต้องการของพวกเขามากยิ่งขึ้น เพื่อให้แบรนด์ของคุณเป็นที่หนึ่งในใจและเป็นตัวเลือกที่ลูกค้านึกถึงเป็นคนแรก นอกจากนี้ Email Marketing ยังช่วยให้แบรนด์ของคุณมีข้อได้เปรียบอีกมากมายดังนี้
กำหนดทิศทางและเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ
การที่ธุรกิจต้องการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ตามที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร แต่ไม่ว่าแบรนด์ของคุณจะเป็นธุรกิจออนไลน์หรือออฟไลน์ รวมไปถึงมีหน้าร้านค้าหลายสาขา กลยุทธ์ Email Marketing สามารถช่วยกำหนดเส้นทางและเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ของลูกค้าของคุณได้ เช่น คุณต้องการเน้นให้ลูกค้าไปใช้บริการที่ร้านค้าใกล้เคียง คุณต้องการเน้นให้ลูกค้าไปซื้อสินค้าหรือบริการแบบเฉพาะเจาะจงที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ฉะนั้นการส่งอีเมลด้วยข้อมูลที่ลึกซึ้งและแม่นยำจะช่วยนำทางให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าหรือบริการของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น
การส่ง Email Marketing อาจเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเดียวของแผนการตลาดทั้งหมดของคุณ แต่สามารถช่วยเติมเต็มประสบการณ์ของลูกค้าให้ราบรื่นแบบไร้รอยต่อและทำให้แคมเปญการตลาดของเราให้สมบูรณ์ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถสร้างการตลาดแบบข้ามช่องทาง (Cross-channal Marketing) อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ที่สูงสุด
ประหยัดและคุ้มค่า
การทำ Email Marketing จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ค่อนข้างสูง แต่ใช้งบประมาณที่ไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับการทำการตลาดในช่องทางอื่น ๆ ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ต้องการขับเคลื่อนแคมเปญการตลาดที่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าจำนวนมากด้วยงบประมาณที่จำกัด แต่ทว่าผลลัพธ์ของการทำ Email Marketing จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ จากผลสำรวจพบว่า ประเภทธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ (Retail & eCommerce) หรือสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Packaged Goods) มีแนวโน้มที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าธุรกิจประเภทอื่น ๆ
สร้างเนื้อหาที่เฉพาะตัวได้ง่ายขึ้น
ลองนึกว่าถ้าเราเป็นลูกค้าของแบรนด์หนึ่ง เราคงไม่อยากอ่านอีเมลที่ไม่ได้เกี่ยวกับเราหรือเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เช่น เราได้รับอีเมลโปรโมชันสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงโดยที่บ้านเราไม่ได้เลี้ยงสัตว์ เราก็คงจะงงไม่น้อย แต่ถ้าคุณมีเครื่องมือที่ช่วยในการสร้าง Email Marketing อย่าง Braze การปรับเนื้อหาให้เฉพาะตัวและเข้าถึงลูกค้าของคุณนั้นง่ายดายมาก ยิ่งถ้าแบรนด์ของคุณรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งปรับเปลี่ยนให้เฉพาะตัวกับลูกค้าแต่ละคนได้มากขึ้นเท่านั้น
ยกระดับความสัมพันธ์เพื่อเก็บรักษาลูกค้า
ทุกธุรกิจมุ่งหวังให้ลูกค้าที่เคยใช้สินค้าหรือบริการของตัวเองนั้นกลับมาซื้อซ้ำ เพราะลูกค้าเก่ามักมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ เช่น ค่าการตลาดเป็นต้น เพราะฉะนั้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องและการรักษาลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่ธุรกิจหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากผลสำรวจพบว่า 80% ของผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเชื่อว่า Email Marketing ช่วยเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อ (Retention) ของลูกค้าเก่าได้จริง
การส่ง Email Marketing ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ที่ดีและความภักดีให้กับลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้ แม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้ซื้อสินค้าก็ตาม แต่การเสนอส่วนลด สิทธิ์ในการได้รับส่วนลดก่อนใคร การแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจและมีประโยชน์ การให้คุณค่าและความสำคัญแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขารู้สึกดีเท่านั้น แต่อาจจะสามารถเปลี่ยนบางคนที่เป็นลูกค้าธรรมดาให้กลายเป็นผู้สนับสนุนหลักที่ช่วยในการประชาสัมพันธ์ให้กับแบรนด์ของเราได้อีกด้วย
ขับเคลื่อนการรับรู้และผลิตภัณฑ์ของลูกค้า
การโปรโมทสินค้าหรือแบรนด์กับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ จะมาพร้อมกับความท้าทายและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ยิ่งถ้าคุณไม่มีกลุ่มเป้าหมายที่แน่ชัดอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของการตลาดนั้นไม่ดีเท่าที่ควรและอาจยิ่งเป็นการขับไล่กลุ่มลูกค้าบางกลุ่มให้ห่างออกจากแบรนด์ของคุณมากกว่าเดิมก็เป็นได้
แต่การส่ง Email Marketing คุณจำเป็นที่จะต้องมีรายชื่อ อีเมลหรือข้อมูลของลูกค้าบางส่วนอยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติก็มักจะเป็นลูกค้าหรือคนที่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ ซึ่งมั่นใจได้ว่าคนกลุ่มนี้มีความสนใจในสิ่งที่แบรนด์ของคุณกำลังจะพูดหรือโปรโมทออกไป ไม่ว่าจะเป็นการออกสินค้าและบริการใหม่ โปรโมชันใหม่ รวมถึงข้อตกลงใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น มักจะมีอัตราความสำเร็จและมีประสิทธิภาพมากกว่ากลุ่มลูกค้าใหม่และที่สำคัญที่สุดมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า
ประหยัดเวลาและรองรับระบบอัตโนมัติ
เครื่องมือที่ช่วยในการสร้างกลยุทธ์ Email Marketing ในปัจจุบัน มักจะมาพร้อมระบบอัตโนมัติ (Marketing Automation) ที่ช่วยประหยัดเวลาในการส่งอีเมลอย่างมหาศาล โดยที่คุณสามารถตั้งค่า Workflow การทำงานของระบบอีเมลเมื่อลูกค้าที่ได้รับอีเมลดำเนินการบางอย่างในอีเมลนั้น เช่น
- เปิดดูอีเมลภายใน 7 วัน หลังจากนั้น 2 วันให้ส่งอีเมลถัดไป
- คลิกปุ่มในอีเมลให้ส่งอีเมลแนะนำสินค้าไปหาลูกค้า
- ไปจนถึงการไม่เปิดอีเมลเป็นเวลา 30 วัน ให้ส่งอีเมลโปรโมชันลด 40% ไปหาลูกค้าคนนั้น เป็นต้น
หมายความว่าเราสามารถวางแผนและออกแบบลำดับการส่งอีเมลล่วงหน้าได้ และให้ระบบอัตโนมัติดำเนินการหากพฤติกรรมของลูกค้าตรงกับเงื่อนไขที่เราตั้งค่าเอาไว้ ทำให้คุณมีเวลามุ่งเน้นการตลาดในจุดอื่น ๆ ได้มากขึ้น
วัดผลง่ายและรับรู้ผลลัพธ์ได้ทันที
การส่ง Email Marketing เป็นหนึ่งในไม่กี่กลยุทธ์ทางการตลาดที่สามารถรับรู้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ ที่อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะเห็นผล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดอ่านอีเมล อัตราการคลิกเข้าเว็บไซต์หรือยอดขายที่เกิดจากอีเมล ทำให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการซื้อสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและให้ข้อมูลเชิงลึกที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้จริงได้
ควบคุมข้อมูลของคุณได้อย่างปลอดภัย
ยิ่งคุณสามารถลดการพึ่งพาข้อมูลจาก Third-Party Data และรวบรวมข้อมูลจาก First-Party Data ได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะถ้าเราได้ทำความรู้จักกับลูกค้าและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขาจะช่วยให้เราใกล้ชิดและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเรามากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อแบรนด์ แต่การที่จะทำแบบนั้นได้คุณจำเป็นต้องพึ่งพาการเก็บข้อมูลด้วยตัวเองมากขึ้น
ข้อมูลจาก First-Party Data ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเวลาที่ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณ ซึ่งข้อมูลประเภทนี้ถูกรวบรวมและได้รับความยินยอมมาจากลูกค้าโดยตรง จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมายความเป็นส่วนตัว (PDPA) ทำให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้มากขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะตัวให้กับลูกค้าของคุณ ต่างจากข้อมูล Third-Party Data ที่มักถูกรวบรวมโดยบุคคลภายนอกแล้วนำมาขายให้กับแบรนด์ต่าง ๆ โดยมักจะไม่ได้รับความรู้หรือความยินยอมจากลูกค้าโดยตรง ส่งผลให้มักจะเกิดข้อขัดแย้งกับกฎหมายความเป็นส่วนตัว (PDPA) ได้ง่าย
เพิ่มยอดขายและรายได้
Email Marketing สามารถดึงดูดและกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณได้ เช่น อีเมลที่เน้นการซื้อขายนำเสนอโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ให้กับธุรกิจของเรา ไปจนถึงอีเมลไม่ได้เน้นการซื้อขาย (เช่น แชร์ข่าวสาร แบบสำรวจและคำติชม) ที่จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้แบรนด์รู้จักลูกค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งการส่งอีเมลทุกอย่างล้วนแต่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ของคุณทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
5 ตัวชี้วัดที่ควรจับตามองของกลยุทธ์ Email Marketing มีอะไรบ้าง?
1. อัตราการเปิดและไม่เปิดอีเมล (Open & Non-open rates)
ในปัจจุบันอัตราการเปิดอีเมลไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญเท่าที่เคยเป็นมา เนื่องจากการเปิดตัวฟีเจอร์ Mail Privacy Protection (MPP) ของ Apple ในปี 2021 ฟีเจอร์นี้ทำให้จำนวนการเปิดอีเมลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแทนที่จะดูอัตราการเปิด คุณควรดูจำนวนคนที่ไม่ได้เปิดอีเมลของคุณมากกว่า โดยคุณสามารถใช้ตัวเลขนี้เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเข้าถึงอีเมลของแคมเปญต่าง ๆ ที่คุณส่งไปหาลูกค้า ช่วยให้รู้ถึงความน่าสนใจของหัวเรื่องและเวลาการส่งว่าเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณหรือไม่
2. อัตราการคลิกอีเมล (Click rates)
อัตราการคลิกในอีเมล (Email Click Rate) จะแสดงให้เห็นว่าอีเมลที่เราส่งไปนั้น ลูกค้าทำการคลิกที่ลิงก์ภายในอีเมลหรือมีส่วนร่วมกับอีเมลที่ได้รับไปเท่าไหร่ ซึ่งแสดงถึงความน่าสนใจของเนื้อหาภายในอีเมลว่าตรงกับความต้องการของลูกค้าไหม ซึ่งอีเมลที่มีคำที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจ (CTAs) มักจะมีอัตราการคลิกที่สูงกว่าอีเมลที่เราส่งทั่วไป ดังนั้นแบรนด์จึงควรมีสิ่งที่กระตุ้นหรือบอกจุดประสงค์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้ลูกค้าทำอะไรในอีเมลนั้น ๆ เพื่อระมัดระวังและลดการเกิด Complaint rates และ Unsubsribe
3. อัตราตีกลับอีเมล (Bounce rates)
Bounce rates เกิดจากอีเมลที่เราส่งไปไม่ถึงผู้รับหรือถูกตีกลับ ซึ่งเราควรที่จะต้องรีบตรวจสอบและหาสาเหตุให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น โดยการเกิด Bounce rates จะเกิดขึ้นได้ 2 ประเภทดังนี้
- Soft Bounce มักเกิดจากปัญหาแบบชั่วคราว เช่น กล่องจดหมายเต็มหรือข้อความในอีเมลที่จะส่งใหญ่เกินไป ซึ่งหากเกิดปัญหาเหล่านี้ยังไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนัก แต่เราอาจจะส่งอีเมลบางประเภทที่มีขนาดใหญ่เกินไปหาลูกค้าตามที่ตั้งใจไว้ไม่ได้
- Hard Bounce มักเกิดจากอีเมลที่ไม่มีอยู่จริงหรือว่าอีเมลนี้เลิกใช้งานไปแล้ว ซึ่งถ้าคุณพบว่าอัตราการเกิด Hard Bounce ค่อนข้างสูง แสดงว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องทำความสะอาดถังอีเมลของคุณอีกครั้งแล้ว
4. อัตราการร้องเรียนทางอีเมล (Complaint rates)
ลูกค้าหรือผู้ได้รับอีเมลสามารถแสดงความไม่สนใจในอีเมลของคุณได้หลายวิธี บางแบรนด์ให้ลูกค้าเลือกที่จะไม่รับประเภทอีเมลบางประเภทหรือยกเลิกการรับอีเมลทั้งหมดได้ (Unsubscribe) แต่ก็มีหลายคนที่เลือกทำเครื่องหมายและร้องเรียนให้อีเมลนั้นเป็นสแปม (Spam) ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกันอีเมลจากผู้ส่งในอนาคต เนื่องจากอีเมลจะถูกส่งไปยังถังขยะหรือสแปม แต่ยังส่งผลให้อีเมลที่เราใช้ส่งเสียชื่อเสียงอีกด้วย อาจทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่มีความสนใจเห็นอีเมลของคุณน้อยลง ดังนั้นการเฝ้าดูอัตราการร้องเรียน (Complaint rates) อาจเป็นสิ่งที่สำคัญในการตรวจสอบ เพื่อนำไปพัฒนาและปรับปรุงอีเมลของคุณให้ดียิ่งขึ้น
5. อัตรา Conversion rates
ทุกอีเมลที่คุณส่งหาลูกค้าควรกำหนดเป้าหมาย Conversion rates เอาไว้ด้วยว่า ทำไมคุณต้องส่งอีเมลนี้ให้เขา? คุณต้องการให้ลูกค้าทำอะไร? Conversion rates จะแสดงให้เห็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับอีเมลที่กระทำบางอย่างตามที่คุณตั้งใจไว้ และช่วยให้คุณเห็นได้ว่าอีเมลของคุณตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายโดยรวมของกลยุทธ์ Email Marketing หรือไม่? หาก Conversion rates ต่ำ คุณจะรู้ได้ทันทีว่าคุณต้องปรับปรุงอีเมล เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
7 เครื่องมือของ AI ของ Braze ที่ใช้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ Email Marketing ของคุณ
ในปัจจุบันนี้ถ้าไม่พูดถึง AI คงเป็นไปไม่ได้ การทำ Email Marketing ก็มีเครื่องมือและ AI มากมายที่สามารถมาช่วยให้การส่งอีเมลนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่ง AI ที่เรายกตัวอย่างในวันนี้มีชื่อว่า Sage AI by Braze ที่มีถึง 7 เครื่องมือในการปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ในการสร้าง Email Marketing ให้ไร้ขีดจำกัดได้อีกด้วย จะมีอะไรบ้าง? เริ่มกันที่
1. AI Copywriting Assistant
เครื่องมือที่จะช่วยสร้างภาษาให้เป็นธรรมชาติของ Braze อย่าง AI Copywriting Assistant ที่ขับเคลื่อนโดย ChatGPT ทำให้ง่ายต่อการสร้างข้อความที่หลากหลาย เช่น การสร้างหัวเรื่องหลายแบบ การสร้าง CTA ในหลายเวอร์ชัน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ด้วยฟีเจอร์การควบคุมโทน (Tone) ของ AI Copywriting Assistant คุณสามารถเลือกโทนเสียงที่แน่นอนของข้อความในอีเมลที่คุณต้องการสร้างได้
2. AI Image Generator
เครื่องมือ AI Image Generator ของ Braze ถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยี DALL-E 2 ของ OpenAI เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักการตลาดได้เปรียบทางการแข่งขันในการเพิ่มขีดความสามารถทางการออกแบบภาพที่นำมาใช้ในแคมเปญการตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาทีม Graphic หรือทีม Creative ที่มีภาระหน้าที่เยอะและต้องใช้เวลานาน
3. AI Content QA
เครื่องมือ AI Content QA คือเครื่องมือที่ช่วยเช็คความผิดพลาดทางไวยากรณ์หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในอีเมลที่จะส่งไปหากลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อให้ทีมของคุณมีเวลาไปมุ่งเน้นในการวางแผนและสร้างกลยุทธ์อื่น ๆ ที่ดีขึ้นแทน
4. AI Item Recommendations
เครื่องมือ AI Item Recommendations ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถแสดงสินค้าหรือเนื้อหาที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้น ๆ มากที่สุด โดยคุณสามารถนำฟีเจอร์นี้มาประกอบในการสร้างอีเมลของคุณหรือในแคมเปญการตลาดที่ส่งผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่ามากที่สุดจากแบรนด์ของคุณ
5. Personalized Variant
Braze Personalized Variant ช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับแต่งรูปแบบของอีเมล (หรือข้อความอื่น ๆ) ที่ลูกค้าแต่ละคนจะได้รับ โดยอิงจากพฤติกรรมเฉพาะตัว ความชอบและคุณสมบัติของพวกเขา เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นประสบการณ์ที่ตรงใจและเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มการมีส่วนร่วมและ Conversion rates ของลูกค้าได้
6. Personalized Paths
Personalized Paths ช่วยปรับเปลี่ยนและออกแบบเส้นทางที่เฉพาะตัวทั้งหมดให้กับลูกค้าของคุณ เพื่อให้ลูกค้าได้รับอีเมล ข้อความ ข้อเสนอและอื่น ๆ ที่แบรนด์ต้องการจากสื่อสารออกไปในช่องทางต่าง ๆ แบบ Cross-channel Marketing ให้เหมาะสมและถูกช่องทางแบบอัตโนมัติ เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของเรามากที่สุด
7. Intelligent Timing
Braze Intelligent Timing ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและส่งข้อความหรืออีเมลหาลูกค้าในเวลาที่พวกเขาต้องการได้ เพราะถ้าลูกค้าของคุณยุ่งในตอนเช้าและมักจะเข้าถึงแบรนด์ของคุณในตอนกลางคืน คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้รับอีเมลจากคุณในเวลาที่พวกเขาน่าจะมีโอกาสเห็นและเปิดอีเมลของคุณมากที่สุด
กลยุทธ์ Email Marketing อาจจะเป็นสิ่งพื้นฐานที่หลาย ๆ แบรนด์มีอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้ให้ความจริงจังหรือความสำคัญเท่าที่ควร แต่หารู้ไม่ว่าการทำการตลาดผ่านอีเมลเป็นพื้นฐานในการเชื่อมต่อและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในยุคปัจจุบัน
การสร้างอีเมลรูปแบบใหม่ได้มาถึงแล้ว! ด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่าง Machine Learning และ AI ที่เพิ่มขีดความสามารถของแบรนด์ในการปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้า พร้อมกับการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างความคุ้นชินและเพื่อศึกษาความต้องการของลูกค้าของคุณให้มากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมไปพร้อม ๆ กัน
มาถึงตรงนี้คุณคงเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการสร้าง Email Marketing แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือคุณต้องเข้าถึงเครื่องมือที่ถูกต้องและเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
Braze เองก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คุณสร้าง Email Marketing ที่มีประสิทธิภาพสูงได้ จากการใช้ประโยชน์ของข้อมูลทั้งหมดที่ได้รวบรวมมา ไม่ว่าจะโดยการนำเข้าข้อมูลลงในแพลตฟอร์มจากแบรนด์โดยตรงหรือโดยการผสานรวมกับคลังข้อมูลอื่น ๆ ที่แบรนด์ของคุณมี จากนั้นด้วยคลังข้อมูลทั้งหมดที่รวมอยู่ในที่เดียว คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก AI และ Machine Learning ในการเรียนรู้พฤติกรรม ความชอบ และคุณสมบัติของลูกค้า เพื่อคาดการณ์สิ่งที่ลูกค้าต้องการจะทำต่อไป เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์และผลล้พธ์ที่สูงที่สุดจากแคมเปญที่ปล่อยออกไปอย่างแท้จริง
ซอฟต์แวร์เพื่อการตลาด เพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ของคุณ
บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด – Your Business Transformation Partner
ผู้ให้บริการ Braze ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
Line@ : @dmit