Search
Close this search box.
Search
Close this search box.

อัปเดต 10 Marketing Trends สำหรับปี 2025 มีอะไรบ้าง?

นับตั้งแต่ยุคโฆษณาในหนังสือพิมพ์มาจนถึงปัจจุบันที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทรนด์การตลาดมีการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค นั่นหมายความว่านักการตลาดไม่สามารถเลือกใช้วิธีการเดิม ๆ ที่เคยได้ผลในอดีตมาใช้ตลอดเวลาได้ ฉะนั้นการมองหาแนวโน้มหรือเทรนด์ใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ธุรกิจรักษาความได้เปรียบและวางแผนกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน

ในปี 2025 นี้ เราได้ทำการสรุป 10 เทรนด์การตลาดสำคัญ โดยมีทั้งที่ยังเป็นเทรนด์ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วและเทรนด์การตลาดใหม่ ๆ ที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในปี 2025 นี้ จะมีอะไรบ้าง?

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย!

1. AI in Marketing

เทรนด์การตลาดกับ AI ยังไปต่อด้วยกันยาว ๆ ด้วยการเปิดตัวเครื่องมือ AI ของแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย เช่น ChatGPT, Gemini, Asana AI, BrazeAI™ หรือ Zendesk AI แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังเติบโตและเปลี่ยนแปลงอนาคตของการตลาดอย่างชัดเจน ในปี 2025 นี้ นักการตลาดจะยังคงปรับตัวกับการใช้เทคโนโลยี AI ในกระบวนการทำงานหลายส่วน ๆ และเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ มาดูกันว่านักการตลาดสามารถทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านไหนกันได้บ้าง?

  • วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและคาดการณ์แนวโน้ม (Data Analysis)

จากผลวิจัยของ The Work Innovation Lab พบว่า 30% ของพนักงานใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้ว และจำนวนกว่าสองเท่า (62%) ต้องการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภคและลูกค้า เพราะพวกเขาเชื่อว่าข้อมูลที่ได้จาก AI และ Machine Learning สามารถช่วยให้นักการตลาดเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

    • เพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณาที่ชาญฉลาดและตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่เสียเงินไปกับกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าของเรา
    • วางแผนได้ดีขึ้น ด้วยการการคาดการณ์แนวโน้มที่แม่นยำ
    • เข้าใจพฤติกรรมของผู้ซื้อได้ดียิ่งขึ้น
    • เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าและความภักดี โดยการส่งคอนเทนต์ที่เฉพาะตัวกับแต่ละคน (Personalization)

ภาพจาก Report: The State of AI at Work

  • ออกแบบคอนเทนต์และเนื้อหาที่เฉพาะตัว (Generated Personalized Content)

ยกตัวอย่างเช่น BrazeAI™ ที่ช่วยให้นักการตลาดทำงานได้เร็วขึ้นด้วยการทำงานอัตโนมัติ ด้วยการเขียนข้อความ การสร้างเนื้อหาและการออกแบบภาพกราฟิกเบื้องต้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าได้แม่นยำและเฉพาะตัว (Personalized) มากยิ่งขึ้นจากข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ เช่น การแนะนำผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันในกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ และการออกแบบภาพกราฟิกหรือปรับข้อความทางการตลาดให้ตรงใจผู้ใช้แต่ละคน

  • สร้างประสบการณ์และบทสนทนากับลูกค้า (Driven-Customer Experiences & Services)

การตลาดเชิงสนทนา (Conversational Marketing) โดยใช้แชทบอทและ AI เพื่อสื่อสารกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น Zendesk AI แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Machine Learning กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริการลูกค้า เพราะลูกค้ายุคใหม่มักไม่ยอมรอคำตอบนานและคาดหวังการตอบสนองทันที ด้วยเหตุนี้ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจจึงหันมาใช้เครื่องมือการบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและผลักดันให้เกิด Conversion ที่มากขึ้นตามมาด้วย

2. Short Video & Live Streaming

การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและวิดีโอ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า (Customer Engagement) และสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคมองหาคอนเทนต์ที่กระชับ เข้าถึงง่าย และเนื้อหาที่น่าสนใจ

  • Short Video คีย์สำคัญของการตลาดโซเชียลมีเดีย

Short Video กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง ด้วยความสามารถในการดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้นานกว่าคอนเทนต์รูปภาพหรือข้อความ ตัวอย่างเช่น TikTok และ Instagram Reels ซึ่งเน้นการสร้างคอนเทนต์สั้น ๆ ที่สนุกสนาน โดยจากผลสำรวจกว่า 73% ขนาดวิดีโอที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดอยู่ที่ 30 วินาที ถึง 2 นาที จากผลสำรวจ

ภาพจาก wyzowl

  • Live Streaming เพิ่มการมีส่วนร่วมแบบเรียลไทม์

ตลาดการ Live Streaming ทั่วโลกเติบโตขึ้นถึง 1.49 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตต่อไปแตะระดับ 41.97 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2030 ด้วยการผสมผสานระหว่างการสตรีมสดและการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ โดยลูกค้าสามารถดูรีวิวสินค้า พูดคุย และทำการซื้อสินค้าได้ทันที

  • TikTok ผู้มีอิทธิพลในตลาด Short Video

ในปี 2024 TikTok ยังคงครองตำแหน่งแพลตฟอร์มที่ยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานและนักการตลาดในประเทศไทย ที่มีผู้ใช้งาน 53.6 ล้านบัญชี ซึ่งคิดเป็น 86.6% ของประชากรในประเทศไทย ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่ม Millennials และ Gen Z ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเนื้อหาที่สั้น กระชับ และน่าดึงดูด และยังส่งผลให้เกิดเทรนด์ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย

3. Influencer Marketing

การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์แม้ว่าจะเป็นเทรนด์มาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคกว่า 80% ยังคงซื้อสินค้าตาม Influencer ที่พวกเขาชื่นชอบอยู่ โดยเฉพาะ Nano-Influencer และ Micro-Influencer คือ อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามต่ำกว่า 10,000 และ 10,000 – 100,000 คนตามลำดับ จะเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจากมี Engagement Rate ที่สูงกว่าและยังมีต้นทุนที่ถูกกว่า Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างตัวตนและการรับรู้ของแบรนด์ให้มีความเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ตามเทรนด์ Niche Marketing ในข้อ 9. และสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าที่เฉพาะกลุ่มว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้าและผลิตภัณฑ์ของคุณจริง ๆ

ภาพจาก Motive Influence

4. User-Generated Content (UGC)

UGC หรือเนื้อหาที่ผู้บริโภคเป็นคนสร้างขึ้นเอง ยังคงเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังอย่างมากในยุคที่งบการตลาดหดตัว เช่น ถ่ายวิดีโอแกะกล่อง รีวิวสินค้า ถ่ายสตอรี่หรือโพสต์แท็กแบรนด์บนช่องทางของพวกเขาเอง เพราะเนื้อหาประเภทนี้ช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์โดยที่ใช้งบไม่เยอะเท่าช่องทางการตลาดอื่น ๆ

ทำไม User-Generated Content ถึงสำคัญ?

  • สร้างความน่าเชื่อถือ: ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชอบดูภาพและรีวิวจากลูกค้าจริงมากกว่าภาพโฆษณา
  • ช่วยในการตัดสินใจซื้อ: ผู้บริโภคมักดูคะแนนและรีวิวก่อนซื้อสินค้า
  • ประหยัดงบการตลาด: แบรนด์สามารถให้ลูกค้าช่วยสร้างคอนเทนต์ ซึ่งเหมาะสำหรับทีมที่มีงบประมาณจำกัด

5. Voice Search Optimization (VSO)

การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search Optimization) เทรนด์การตลาดที่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ และกำลังเห็นมากขึ้นในประเทศไทย ให้คุณลองนึกภาพง่าย ๆ เช่น การถามคำถามหรือพูดคุยกับ ChatGPT, Siri และ Alexa ในการช่วยค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น “ใครเป็นเจ้าของ Demeter ICT?” ไปจนถึง “ช่วยหาร้านกาแฟใกล้ออฟฟิศ Demeter ICT ที่เปิดอยู่มีอะไรบ้าง?” เป็นเทรนด์การตลาดที่กำลังเปลี่ยนวิธีในการปรับปรุงด้าน SEO ของธุรกิจ เพราะธุรกิจต้องปรับเนื้อหาคอนเทนต์ให้เหมาะกับการค้นหาด้วยเสียง โดยใช้รูปแบบคำถาม-คำตอบที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ได้คำตอบที่ได้รวดเร็วและแม่นยำ

เคล็ดลับปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะกับ Voice Search Optimization

  • เขียนให้เหมือนพูด: ควรใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ เช่น “ร้านนี้เปิดกี่โมง?”
  • ใช้ Keyword สำคัญ: ใส่คำถามหรือคำที่คนมักพูดเมื่อค้นหาด้วยเสียง เช่น “ร้านใกล้ฉันที่ขายกาแฟ”
  • คำตอบสั้นและชัดเจน: ให้ข้อมูลที่ตรงประเด็น เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบทันที

6. Virtual Reality (VR) & Augmented Reality (AR)

งานวิจัยชี้ว่า เทคโนโลยีภาพเสมือนจริงอย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) อาจช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจโลกได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเทรนด์การตลาดนี้เป็นการเพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างลูกค้ากับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการของแบรนด์ได้แบบเสมือนจริง

ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยี VR & AR ในปัจจุบัน เช่น

  • SEPHORA: ใช้แอป Virtual Artist ช่วยลูกค้าลองแต่งหน้าเสมือนจริง
  • IKEA: มีโชว์รูม VR ให้ลูกค้าจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในบ้านได้แบบเสมือนจริง

7. Privacy & Data Protection

จากผลสำรวจ พบว่า 89% ของผู้บริโภคระวังเรื่องการให้ข้อมูลส่วนตัวของตัวเองกับแบรนด์มากขึ้น ตัวเลขนี้สะท้อนถึงโอกาสสำคัญที่แบรนด์จะสร้างความไว้วางใจและความแตกต่างจากคู่แข่งได้ บริษัทหลาย ๆ แห่งกำลังพัฒนากระบวนการเก็บข้อมูล First-Party Data หรือ Zero-Part Data ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว ในขณะเดียวกันการโจมตีทางไซเบอร์หรือแก๊งค์ Call Center ที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลรั่วไหล

เพราะฉะนั้นหากแบรนด์สามารถสื่อสารได้ว่าข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่ให้มาจะถูกปกป้องอย่างปลอดภัย ลูกค้าจะรู้สึกมั่นใจที่จะสมัครบริการและให้ข้อมูลต่าง ๆ กับแบรนด์ของคุณมากขึ้น เช่น แอป อีเมล หรือการดาวน์โหลดเอกสาร โดยไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะถูกขโมยหรือรั่วไหล เป็นการเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันและยกระดับให้กับแบรนด์ของคุณได้เป็นอย่างดี

8. Hyper-Personalization & Niche Marketing

Hyper-personalization และ Niche Marketing คือ การตลาดแบบเฉพาะบุคคลและเฉพาะกลุ่ม ที่เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จสำหรับธุรกิจ เพราะคุณไม่สามารถทำสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกคนได้ โดยปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสนใจสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและตรงกับความต้องการส่วนตัวของพวกเขามากขึ้น

แบรนด์จึงจำเป็นที่จะต้องมองหาตัวตนและกลุ่มเป้าหมายของตัวเองให้เจอ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจและแตกต่างกันได้ด้วยข้อความที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มแบบ Personalized การเจาะตลาดที่เฉพาะกลุ่มและสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนั้นอย่างแท้จริง จะช่วยเพิ่มตัวตน เอกลักษณ์ ความน่าสนใจให้กับแบรนด์ของคุณ และส่งเสริมความภักดีไปสู่ความสำเร็จให้กับธุรกิจในระยะยาว

9. Collaboration & Partnership Marketing

ในปี 2024 ที่ผ่านมา การร่วมมือระหว่างแบรนด์ หรือ Collaboration & Partnership Marketing เกิดขึ้นให้เห็นมากมายในประเทศไทยของเรา เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่างในตลาดที่แข่งขันสูง ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความแปลกใหม่ การจับมือกันระหว่างแบรนด์ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ การสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ เพิ่มการรับรู้ และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เรียกได้ว่า ไปด้วยกันไปได้ไกล

ประโยชน์ของ Collaboration & Partnership Marketing

  • ช่วยเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าใหม่ การร่วมมือกับแบรนด์อื่นช่วยขยายฐานลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อาจไม่เคยรู้จักแบรนด์ของคุณ
  • ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ การทำงานกับแบรนด์ที่มีคุณค่าหรือจุดยืนคล้ายกัน ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของแบรนด์
  • ช่วยสร้างความน่าสนใจและกระแส แคมเปญร่วมมือที่ไม่เหมือนใครดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้มากขึ้น

ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์ Collaboration & Partnership Marketing ในปี 2024

  • ไอติม Guss Damn Good x 9 แบรนด์ดังในไทย

แคมเปญที่เรียกเสียงฮือฮาจนกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลของปี 2024 มาจากแบรนด์ไอติม Guss Damn Good ที่ร่วมฉลองกับ National Ice Cream Month ที่มาเสิร์ฟ “ไอติม 9 รสชาติจาก 9 แบรนด์ดัง” ได้แก่

  1. บาร์บีคิวพลาซ่า: Bar B Q Plaza Sauce with Honey Molasses
  2. มาม่า: MAMA Noodle Crumble with Lime Juice
  3. ตะขาบ: Takabb Lozenges with Lotus Root Rock Sugar
  4. ซอสภูเขาทอง: Green Cap Sauce with Custard Brittle
  5. โรซ่า: Roza Tomato with Strawberry
  6. ส.ขอนแก่น: Sor Khonkaen Pork Floss with Coconut Sugar
  7. แม่ประนอม: Maepranom Chili Paste with Salted Egg Condensed milk
  8. จอลลี่แบร์: Full of JollyBears
  9. อาร์เซนอล: Arsenal Cookies with Malted Chocolate

นับเป็นแคมเปญ Collabotation แห่งปีก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่การออกไอติมรสชาติใหม่ แต่ได้จับมือกับ 9 แบรนด์ยอดฮิตที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ยิ่งเป็นการสร้างแนวการตลาดใหม่ ๆ และยังเป็นการช่วยเพิ่ม Brand Awareness และกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์ Guss Damn Good อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

  • BEAUTRIUM x Bonchon

แคมเปญจากแบรนด์ BEAUTRIUM ผู้นำเข้า K-Beauty เจ้าดังของไทย ที่จับมือกับ BONCHON แบรนด์ไก่ทอดส่งตรงจากเกาหลี เปิดตัวสินค้าใหม่อย่าง “Korean Spicy Chicken Oil Tint” หรือลิปทินท์ไก่ทอดซอสเกาหลี

จนกลายมาเป็นลิปที่มอบความแปลกใหม่ให้กับวงการบิวตี้ พร้อมสรรพคุณการบำรุงริมฝีปากแบบจัดเต็ม พร้อมเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้วยแพ็กเกจที่เป็นกล่องไก่ทอด Bonchon ให้ความรู้สึกเหมือนคุณสั่งไก่ทอดมากินที่บ้านกันไปเลย

Fun fact: Demeter ICT เองเราก็ร่วมเป็น Partnership ทางธุรกิจและการตลาดกับแพลตฟอร์มระดับโลกมากมาย เช่น Google Workspace, Zendesk, Braze, Asana และ Freshwork ด้วยนะ หากคุณกำลังมองหาโซลูชันในการทรานฟอร์มธุรกิจของคุณ สามารถติดต่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี! ที่นี่

10. Sustainability & Purpose-Driven Marketing

ในปี 2025 นี้ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ตรงกับค่านิยมของตัวเอง เช่น แบรนด์ที่มุ่งเน้นด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และแนวทางปฏิบัติในการทำธุรกิจที่โปร่งใส่และมีจริยธรรม ธุรกิจที่สามารถสื่อสารถึงความมุ่งมั่นและใส่ใจต่อสังคมอย่างยั่งยืนได้ จะสามารถดึงดูดและรักษาฐานลูกค้าที่ภักดีกลุ่มนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

แหล่งอ้างอิง: Asana Blog, Forbes, Wyzowl, Meetanshi, Ad Addict, Motive Influence

บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด - Transform Your Business

ผู้ให้บริการโซลูชันชั้นนำระดับโลกมากมายในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก

LINE : @dmit