5 ฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep ที่คนจดโน้ตไม่ควรพลาด

Google Keep เป็นอีกหนึ่งบริการของ Google Workspace ที่มีไว้ช่วยจดโน้ตหรือบันทึกต่าง ๆ อย่างสะดวกสบาย พร้อมกับฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้คุณจดโน้ตได้ง่ายขึ้น รวดเร็วแบบโปร พร้อมทั้งแชร์ให้กับคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปดูทั้ง 5 ฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep ที่คนจดโน้ตไม่ควรพลาด 1. # แฮชแท็ก แบ่งหมวดหมู่และจัดกลุ่มโน้ต ฟีเจอร์นี้จะทำให้โน้ตและบันทึกต่าง ๆ เป็นระเบียบ หาง่าย โดยการใส่แฮชแท็กในโน้ต  เช่น #Work #Meeting ก็จะทำให้โน้ตของคุณถูกแบ่งไว้เป็นหมวด ๆ ตามที่ตั้งชื่อ เหมือนกับสร้าง Label ไว้ให้โน้ตนั่นเอง ซึ่งจะทำให้คุณหาโน้ตได้ง่ายขึ้นตามแฮชแท็กที่สร้างไว้ โดยค้นหาตามชื่อซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ  2. พิมพ์ไม่ทัน พูดเอาก็ได้ อีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep คือ การถอดเสียงพูด โดยคุณสามารถพูดลงบนโน้ต และ Google Keep จะทำการพิมพ์ข้อความที่คุณพูดลงไปให้อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ เรียกได้ว่า พูดปุ๊ป พิมพ์ลงให้ปั๊ป และเสียงที่พูดนั้นก็จะถูกบันทึกไว้ให้ในโน้ต ซึ่งสามารถเปิดฟังทีหลังได้อีกด้วย 3. พิมพ์แล้ว พูดแล้ว เขียนอีกก็ได้ ไม่ต้องไปอีกแอปเพื่อจดบันทึกโดยการเขียน ถ้าคุณไม่ถนัดพิมพ์ Google Keep สามารถให้คุณเขียนแทนการพิมพ์ได้ และยิ่งกว่านั้นคือเมื่อคุณเขียนเสร็จแล้ว สามารถถอดลายมือออกมาเป็นตัวหนังสือ ไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิมพ์อีกรอบ 4. แปลงลายมือหรือข้อความในภาพเป็นตัวอักษร Google Keep สามารถแปลงข้อความในภาพหรือลายมือที่เราเขียนไว้ในโน้ตออกมาเป็นตัวอักษรได้ โดยที่คุณไม่ต้องนำภาพหรือสิ่งที่เขียนเอาไว้มาพิมพ์ลงโน้ตอีกรอบ ฟีเจอร์นี้ก็สร้างความสะดวกสบายสุด ๆ เพียงแค่คลิกไอคอน สามจุด > Grab Image Text (จับข้อความจากรูปภาพ) เท่านี้ข้อความในภาพทั้งหมดก็จะถูกถอดออกมาเป็นตัวหนังสือ สามารถ Copy ไปวางที่อื่นได้อีกด้วย  5. โน้ตเสร็จแล้ว แชร์ให้เพื่อน ฟีเจอร์นี้คล้ายกับการแชร์เอกสารใน Google Docs ที่คุณสามารถแชร์ให้กับเพื่อนร่วมงานหรือใครก็ได้ เพียงแค่ใส่อีเมลของคนที่คุณต้องการจะแชร์เข้าไป เท่านี้ก็จะสามารถเข้ามาดู แก้ไข หรือทำงานร่วมกันในโน้ตที่คุณสร้างขึ้นได้...

Continue reading

Upselling กับ Cross-selling คืออะไร? ส่องกลยุทธ์เพิ่มยอดที่นักขายห้ามพลาด

คุณเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งแล้วคุณป้าถามว่า “อีกสิบบาทมั้ย ใส่ไข่ดาวเพิ่ม” รึเปล่า? เชื่อหรือไม่ แค่หลักการง่าย ๆ นี้ก็นับเป็นกลยุทธ์การขายแล้ว และในความเป็นจริงกลยุทธ์พวกนี้อยู่รอบตัวเรามากกว่าที่คุณคิด  ในบทความนี้ เราจะมารู้จักกับกลยุทธ์การขายที่ชื่อ Upselling และ Cross-selling อันเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักขายห้ามพลาดกัน Upselling คืออะไร? Upselling หรือ “การเพิ่มยอดขาย” ความหมายของมันคือการสนับสนุนให้ลูกค้าตัดสินใจใช้จ่ายมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ในขณะเดียวกันในแง่ของลูกค้าเองก็จะรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเมื่อได้ซื้อสินค้าที่มองว่าคุ้มค่ากว่าเดิม หรืออาจมีฟีเจอร์ของแถมเสริมเพิ่มเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าบางครั้งเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดเสมอไป แต่เป็น “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อ และหากเมื่อรวมกับพฤติกรรมการซื้อของผู้คนสมัยนี้ที่มักเริ่มต้นจากหาข้อมูลก่อน แล้วค่อยนำมาเปรียบเทียบหาสินค้าหรือบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด ท่ามกลางสินค้าจำนวนมากที่มีฟีเจอร์คล้ายคลึงกัน ถ้ามีสินค้าหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาแม้จะมีราคาสูงกว่า ความคิดที่ว่า “แค่เพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่ง” ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้แม้จะเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกก็ตาม การใช้เทคนิค Upselling ไม่ควรใช้แบบบังคับ รบเร้าเกินไปจนเสียความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า แต่ควรเป็นในแง่ของการนำเสนอคุณค่าหรือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับถ้าจ่ายมากกว่าเดิมให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ว Cross-selling คืออะไร? Cross-selling คือการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก ยกตัวอย่างเวลาที่เราไปธนาคารเพื่อเปิดบัตรเดบิต พนักงานก็อาจจะเสนอขายสินเชื่อหรือประกันเสริมให้กับเรา กลยุทธ์ Cross-selling ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ และเป็นโอกาสให้เรานำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเพิ่มเติมเข้าไป  พนักงานขายที่ร้านไอทีอาจจะใช้ Cross-selling ครั้งแรกไปกับการนำเสนออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ข้องเกี่ยวกันอย่างแล็ปท็อปกับเมาส์ ในส่วนของพนักงานซัพพอร์ตก็สามารถใช้หลัก Cross-selling หากว่าลูกค้าต้องการใช้ฟีเจอร์หนึ่งที่ซอฟต์แวร์ที่ตนเองใช้อยู่ไม่มี แต่ฟีเจอร์นั้นอยู่ในซอฟต์แวร์อีกตัวของแบรนด์ซอฟต์แวร์เดียวกัน สามารถสรุปได้ว่า Upselling คือการจูงใจให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสินค้าที่อัพเกรดกว่าเดิม ขณะที่ Cross-selling คือการโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกันได้นั่นเอง แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะ Upselling กับ Cross-selling ให้ดีได้? แม้ทั้งสองกลยุทธ์นี้จะมีประโยชน์และสามารถเพิ่มยอดขายได้จริงในแง่ของธุรกิจ ทว่าหากมองในแง่ของลูกค้าขึ้นชื่อว่าต้องเสียเงิน อะไรที่รบเร้ามากเกินไปก็อาจพลอยให้เสียอารมณ์ขึ้นมาแทนได้เหมือนกัน ดังนั้นการวางแผนการตลาดและการขายให้ดี รู้จักใช้ Customer Journey หรือ Sale Pipeline เพื่อให้ใช้กลยุทธ์การขายเหล่านี้ได้ถูกจังหวะ (Touchpoint) จึงถือเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก ในปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยบริหารการขายอยู่มากมาย ทว่าหากพูดถึงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการขายที่ใช้ง่าย ตอบโจทย์ทั้งทีมขายและลูกค้าล่ะก็เราขอแนะนำ Zendesk Sell เครื่องมือนี้จะช่วยคุณเก็บบันทึกทุกข้อมูลของลูกค้า เห็นภาพรวมการขายมากขึ้น ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของลูกค้าและใช้ทุกโอกาสที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ Zendesk Sell ได้ที่นี่เลย สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเป็น Upselling...

Continue reading