Search
Close this search box.
Search
Close this search box.

วิธีอัปโหลดไฟล์บน Gemini Apps ให้ Gemini ช่วยวิเคราะห์แทน

เดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็ต้องแข่งกับเวลาทั้งนั้น การทำงานของคุณก็เช่นกัน เคยไหม? เมื่อมีข้อมูลไฟล์มากมายแต่มีเวลาไม่มากพอในการอ่านหรือทำความเข้าใจ บอกเลยว่า Gemini เป็นผู้ช่วยคุณได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าไฟล์นั้นจะมีเนื้อหาที่ยาวเหยียดและซับซ้อนขนาดไหน Gemini ก็ช่วยวิเคราะห์และสรุปใจความสำคัญทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการระบุข้อมูลเชิงลึกและให้คำแนะนำต่างๆที่คุณต้องการ เพียงอัปโหลดไฟล์ของคุณที่ Gemini Apps >> gemini.google.com  โดยไฟล์อัปโหลดที่รองรับมีดังนี้ ไฟล์เอกสาร (Document and text files) TXT, DOC, DOCX, PDF, RTF, DOT, DOTX, HWP, HWPX และ Google Docs ไฟล์ข้อมูล (Data Files)​ XLS, XLSX, CSV, TSV และ Google Sheets  สิ่งที่ต้องรู้ สามารถอัปโหลดไฟล์พร้อมกันได้สูงสุด 10 ไฟล์ต่อครั้ง และแต่ละไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 100 MB ผู้ใช้งานจะสามารถอัปโหลดไฟล์จาก Google Drive ได้ก็ต่อเมื่อมีสิทธิ์เป็นเจ้าของไฟล์ หรือต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแชร์จากไฟล์นั้นเท่านั้น วิธีอัปโหลดไฟล์ให้ Gemini ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมตัวอย่าง 1.  ไปที่  gemini.google.com2. ไปที่แถบ Enter a prompt for Gemini  และ คลิก Add files3. เลือกประเภทการอัปโหลดที่ต้องการ เช่น Upload images, Upload files หรือ Add from Drive4. จากนั้นพิมพ์ prompt หรือคำสั่งที่ต้องการเพื่อให้ Gemini เริ่มวิเคราะห์ข้อมูล ตัวอย่าง: การอัปโหลดไฟล์นำเสนอ เพื่อให้ Gemini ช่วยสรุปใจความสำคัญของสไลด์ ตัวอย่าง: การอัปโหลดไฟล์เอกสารเพื่อให้ Gemini ช่วยแนะนำวิธีการเขียนให้ดีขึ้น และนี่ก็คือวิธีอัปโหลดไฟล์พร้อมตัวอย่างเพื่อให้ Gemini ช่วยสรุปและวิเคราะห์ข้อมูล...

Continue reading

ฟีเจอร์ Gemini “Take notes for me” ใน Google Meet บันทึกโน้ตการประชุมอัตโนมัติด้วย AI

ข่าวดีสำหรับผู้ใช้งาน Google Meet ต่อจากนี้ไปการประชุมของคุณจะล้ำขึ้นไปอีกขั้น ด้วยฟีเจอร์ “Take notes for me หรือ จดบันทึกให้ฉัน” หนึ่งในฟีเจอร์อัปเดตใหม่ล่าสุดของ Gemini for Google Workspace ที่อยู่ใน Google Meet ที่ทำหน้าที่ช่วยจดบันทึกการประชุมได้อย่างละเอียดว่ามีการพูดถึงเนื้อหาอะไรบ้าง พร้อมสรุปเนื้อหาใจความสำคัญ ทำให้ผู้เข้าร่วมไม่พลาดสาระสำคัญต่างๆและติดตามการประชุมด้วยตนเองทั้งหมดได้ เบื้องต้นฟีเจอร์นี้ยังรองรับได้เพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น ส่วนภาษาอื่นๆรวมทั้งภาษาไทยกำลังอยู่ในคิวการอัปเดตเร็วๆนี้ วิธีใช้งานฟีเจอร์ “Take notes for me” เข้าไปที่การประชุมใน Google Meet > คลิกที่ไอคอน Gemini >  คลิก Start taking notes เพื่อเริ่มจดบันทึกการประชุม โดยไฟล์ที่บันทึกจะถูกบันทึกไว้ใน Drive เจ้าของการประชุม ในรูปแบบ Google Docs หากใครที่ไม่พบฟีเจอร์ Take notes with Gemini ให้ตรวจสอบที่ Admin ว่า ได้มีการให้อนุญาตใช้ฟีเจอร์นี้หรือไม่ โดยให้ Admin เข้าไปตั้งค่าที่ Admin Console >  Apps > Google Workspace > Google Meet > การตั้งค่า Gemini > การจดบันทึกด้วย Google AI เทคนิคการใช้ฟีเจอร์ช่วยจดบันทึกโน้ตการประชุม พูดให้ชัดเจน ยิ่งพูดชัดเจนและมีโครงสร้างในการพูดมากเท่าไหร่ AI ก็จะยิ่งเข้าใจและจดบันทึกได้แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น หมั่นใช้คำสั่ง คุณสามารถใช้คำสั่งง่ายๆ เช่น “หัวข้อถัดไป” หรือ “สรุปข้อสำคัญ” เพื่อให้ AI เน้นย้ำประเด็นที่คุณต้องการ ควรตรวจสอบและแก้ไข การใช้ AI อาจมีข้อผิดพลาดบ้าง ควรตรวจสอบและแก้ไขโน้ตที่ได้หลังจากการประชุม ปรับแต่งการตั้งค่า ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ เช่น ภาษาที่ใช้ในการจดบันทึก...

Continue reading

ใช้ Google Workspace แค่ 1 บัญชี จะได้รับอะไรได้บ้าง?

อยากใช้ Google Workspace ไม่จำเป็นต้องสมัครหลายบัญชี แค่ 1 บัญชีก็สมัครได้เลย ไม่มีขั้นต่ำ เพียง 113.50 /เดือน/บัญชี หรือ 1,362 บาท ต่อปีในแพ็กเกจเริ่มต้น (Business Starter) บอกเลยว่าแค่แพ็กเกจเริ่มต้น คุณก็สามารถได้รับฟีเจอร์ที่ครอบคลุมทุกการใช้งานและได้รับมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ระดับเดียวกันกับ Google อย่างแน่นอน มาดูกันว่า แค่มี Google Workspace 1 บัญชี คุณจะได้รับอะไรบ้าง? 1. หากมีโดเมนแล้ว คุณก็สามารถมีอีเมลเป็นของบริษัทได้เลยทันที จากเวอร์ชันฟรีที่คุณใช้นามสกุลอีเมลของคุณว่า @gmail.com เมื่อเปลี่ยนเป็น Google Workspace พร้อมโดเมน อีเมลของคุณก็จะมีนามสกุลว่า @yourcompany.com เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท ตัวอย่างเช่น sales@dmit.co.th ซึ่งหากคุณเป็นมือใหม่ ยังไม่ค่อยเข้าใจในส่วนของโดเมนและอีเมลมากนัก คุณสามารถทำความรู้จักได้ที่นี่เลย 2. เข้าถึงแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ได้หลากหลาย หากคุณเคยใช้เวอร์ชันฟรีมาก่อนก็อาจจะรู้สึกว่า ‘ทำไมต้องซื้อ Google Workspace ในเมื่อเวอร์ชันฟรีก็มีหลายแอปพลิเคชันให้ใช้อยู่แล้วนี่นา?’ ซึ่งต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว Google Workspace มีจำนวนแอปพลิเคชันที่เยอะกว่าเวอร์ชันฟรีมาก มาดูการเปรียบเทียบกันเลย! Google Workspace Company Gmail Google Drive (เริ่มต้นที่ 30 GB) Google Calendar Google Chat Google Meet Google Docs Google Slides Google Sheets Google Forms Google Sites Groups Gemini Chat Experience AppSheet (ได้รับฟรี) Free Gmail Personal Gmail Google Drive (จำกัด 15 GB)...

Continue reading

มีบัญชี Google Workspace สามารถใช้ Gemini ตัวไหนได้ฟรี?

หลังจากที่ Google ได้เปิดตัว Gemini Generative AI เวอร์ชันล่าสุดออกมา ก็มีหลายท่านได้เข้ามาสอบถามกับทาง Demeter ICT ถึง Gemini ตัวนี้ว่าหากมี Google Workspace อยู่แล้วใช้ Gemini ได้ฟรีหรือไม่? มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก Gemini กันก่อน Gemini สำหรับ Google Workspace จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ Gemini Chat Experience for Google Workspace Gemini for Google Workspace  ซึ่งหากท่านมีบัญชี Google Workspace อยู่แล้วจะสามารถใช้งาน Gemini Chat Experience for Google Workspace ได้ฟรี  แล้ว Gemini Chat Experience for Google Workspace คืออะไร? Gemini Chat Experience คือ Gemini ที่คุณใช้เสิร์ชหาข้อมูล ถามคำถาม ปรับแต่งประโยค หรือขอคำแนะนำต่าง ๆ บนเว็บไซต์นี้ Gemini.google.com  ซึ่งหากคุณเข้าใช้งานผ่านบัญชีของ Google Workspace Gemini Chat Experience จะถูกอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน Advanced ให้คุณโดยอัตโนมัติ ซึ่งเวอร์ชันนี้ผู้ใช้งาน Gmail ฟรีจะไม่สามารถเข้าใช้งานได้ Gemini Chat Experience เวอร์ชัน Advanced ต่างจากเวอร์ชันปกติอย่างไร? Gemini Chat Experience เวอร์ชัน Advanced สำหรับ Google Workspace นั้นจะมีความสามารถมากกว่า...

Continue reading

“พบกับหน้าตา Gemini for Google Workspace แบบ Side panel” คิดงานไม่ออกบอก Gemini ที่ Prompt อยู่ข้างๆคุณ

มี AI ไว้ใช้ในชีวิตประจำวันว่าเจ๋งแล้ว แต่การมี AI ที่พร้อมซัพพอร์ตข้างๆคุณตลอดเวลาการทำงานยิ่งเจ๋งกว่า เพราะ AI ใน Google Workspace ในชื่อ “Gemini for Google Workspace” ได้อัปเดตหน้าตา Interface แบบ Side panel ปรากฎเพิ่มในรูปแบบหน้าต่างที่แถบด้านข้างของ Gmail, Docs, Sheets, Slides, และ Drive ที่จะช่วยคุณสรุป วิเคราะห์ และสร้างคอนเทนต์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยความสามารถของ Gemini อัจฉริยะ โมเดลเวอร์ชัน 1.5 Pro ที่สามารถประมวลผลจากบริบทที่ยาวขึ้น ประกอบกับการใช้หลักเหตุผลขั้นสูง ทำให้ผู้ใช้งาน Google Workspace สามารถใช้งาน Gemini ในเวอร์ชันที่มีความแม่นยำและฉลาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม !  หน้าตา Gemini แบบ Side panel มีอะไรแปลกใหม่ ? แน่นอนว่าการอัปเดต Interface ของ Gemini แบบ Side panel สามารถให้ผู้ใช้งาน ใช้งานได้สะดวกกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า ไม่ต้องกดหลายแท็ปสลับเปลี่ยนไปมา ทำให้การทำงานร่วมกับ Gemini ไม่มีสะดุด ที่สำคัญอัดแน่นด้วยคำสั่งแนะนำ (Prompt Suggestion) ที่ช่วยคุณเริ่มต้นหาไอเดียได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างแสดงการใช้งาน Gemini ใน Google Docs ด้วยคำสั่ง “Help me write” ทั้ง Interface “แบบเดิม” และ “แบบ Side panel” จะเห็นได้ว่า Gemini แบบ Side panel สามารถสร้างคำสั่งแนะนำในการวิเคราะห์เนื้อหาเพิ่มเติมต่อไปได้อีกมายมายจนกว่าคุณจะได้เนื้อหาที่พอใจ   หมายเหตุ สังเกตไหมว่าถึงแม้จะป้อนคำสั่งแบบไม่ถูกหลักไวยากรณ์ แต่ Gemini ก็สามารถทำความเข้าใจได้ ฉะนั้นการที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ ก็สามารถใช้...

Continue reading

วิธีเปรียบเทียบไฟล์เอกสาร 1:1 ใน Google Docs หาจุดแตกต่างระหว่าง 2 ไฟล์ได้ในไม่กี่วิ!

คุณมีวิธีการหาความแตกต่างระหว่างเนิ้อหาของเอกสาร 2 ไฟล์อย่างไร หลายคนอาจจะใช้วิธีการเปิดหน้าต่าง 2 ไฟล์พร้อมกัน แล้วไล่ตัวอักษรทีละตัว ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้เวลาในการตรวจ และส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพดวงตาก็เป็นได้ แค่คิดก็ปวดหัวแล้วใช่ไหมล่ะ สำหรับใครที่กำลังใช้วิธีนี้อยู่ต้องหยุดก่อน! เพราะ Google Docs สามารถช่วยทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องง่ายได้ เพียงใช้ฟีเจอร์ “เปรียบเทียบเอกสาร หรือ Compare Documents“  ก็สามารถช่วยคุณแสกนหาข้อความที่เหมือนหรือแตกต่างระหว่าง 2 ไฟล์เอกสารได้ในไม่กี่วินาที ! ใช้ฟีเจอร์ “เปรียบเทียบเอกสาร”ทำอะไรได้บ้าง เปรียบเทียบเอกสารของเวอร์ชันก่อนหน้ากับเวอร์ชันปัจจุบัน เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เปรียบเทียบเอกสารสองฉบับที่เขียนโดยบุคคลต่างกัน เพื่อหาจุดที่แตกต่างกัน วิธีการใช้งานฟีเจอร์ “เปรียบเทียบเอกสาร” จากตัวอย่างจะแสดงการเปรียบเทียบเอกสารทั้ง 2 ไฟล์ ระหว่างไฟล์ A และ B ในบทความเรื่อง “เกาะช้าง” ว่ามีข้อความที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (เจ้าของเอกสารและผู้ที่มีสิทธิ์แก้ไขเท่านั้นที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้) 1. เข้าไปที่ Docs แล้วเลือกไฟล์ที่ต้องการมาเป็นไฟล์หลัก (แทนด้วยไฟล์ A) 2. ไปที่แถบเครื่องมือ เลือกเครื่องมือ (Tools) > เปรียบเทียบเอกสาร (Compare Documents) 3. เลือกไฟล์​ที่ต้องการนำมาเปรียบเทียบ (แทนด้วยไฟล์ B) แล้วใส่ชื่อผู้ที่ต้องการให้ระบบแสดงเป็นผู้ที่ให้การแนะนำแก้ไขข้อความที่แตกต่าง จากนั้นให้คลิก “เปรียบเทียบ (Compare)” เพียงเท่านี้ระบบจะทำการสร้างไฟล์เอกสารใหม่ที่แสดงรายละเอียดที่แตกต่างระหว่างไฟล์ A และ ไฟล์ ขึ้นมา ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะสำหรับการหาจุดที่แตกต่างระหว่าง 2 เอกสาร ด้วยฟีเจอร์ “เปรียบเทียบไฟล์เอกสาร หรือ “Compare Documents“ ที่มีอยู่ใน Google Docs นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะแล้ว ยังทำให้การทำงานเอกสารเป็นเรื่องง่ายขึ้นอีกด้วย...

รวมพลังฟีเจอร์ AI ใน Gmail ที่เปลี่ยนเรื่องเมลให้เป็นเรื่องง่าย

อีเมลนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญที่สุดของทุกองค์กร แม้ว่าปัจจุบันจะมีช่องทางการสื่อสารมากมายที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรการสื่อสารผ่านอีเมลก็ยังคงได้รับความนิยมในแวดวงของธุรกิจ เพราะแสดงถึงความเป็นทางการ และความน่าเชื่อถือขององค์กร  อย่างที่ทราบกันดีว่าการเขียนอีเมลแต่ละฉบับจะต้องมีการระบุทั้งอีเมล ชื่อ คำขึ้นต้น คำลงท้าย และมีส่วนประกอบอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการร่างและตรวจสอบอยู่พอสมควร แต่ข่าวดีสำหรับผู้ใช้งาน Gmail ใน Google Workspace หลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้แล้ว การใช้งานอีเมลของคุณจะเปลี่ยนนับจากนี้ไป เพราะใน Gmail มีฟีเจอร์ AI อัจฉริยะมากมายที่จะช่วยให้การใช้งานบน Gmail ง่ายขึ้น ไวขึ้น และสะดวกยิ่งขึ้น  จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย 1. ร่าง – ตอบกลับอีเมลทั้งฉบับได้ด้วย “Help me write” “Help me write” คือหนึ่งเทคโลยี AI หนึ่งในฟีเจอร์ของ Gemini สำหรับ Google Workspace ด้วยความสามารถน่าทึ่งที่จะช่วยคุณร่างอีเมลทั้งฉบับได้ เพียงแค่บอกจุดประสงค์ที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถเลือกปรับ Mood and tone ของเนื้อหาได้อีกด้วย “Help me write” ใน Gmail ทำอะไรได้บ้าง สรุปอีเมล: ช่วยวิเคราะห์สรุปเนื้อหาอีเมลที่ยาวและซับซ้อน ให้คุณเข้าใจเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว แปลภาษา: แปลอีเมลจากภาษาอื่นให้อยู่ในรูปแบบภาษาที่คุณต้องการ ร่างอีเมล: ช่วยร่างอีเมลได้ตามคำสั่ง prompt ของคุณ สามารถเลือกรูปแบบของเนื้อหาอีเมลได้ เช่น อยากได้เนื้อหาอีเมลที่ดูเป็นทางการ (Formalize) ละเอียด (Elaborate) หรือ สั้นกระชับ (Shorten) ค้นหาข้อมูล: ค้นหาข้อมูลสำคัญๆจากอีเมลก่อนหน้า เช่น หมายเลขโทรศัพท์หรือที่อยู่เว็บไซต์ ตอบกลับอีเมล: ช่วยแนะนำการตอบกลับอีเมลด้วยเทมเพลตการตอบกลับที่เกี่ยวข้องกับอีเมลนั้นๆ ฟีเจอร์ “Help me Write” ใน Gmail นี้ได้รับการพัฒนามาและต่อยอดจากฟีเจอร์ Smart Compose และ Smart Reply ที่หลายท่านเคยใช้งานมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ โดย “Help me...

Continue reading

รวมฟีเจอร์ Google Meet 2024 ปรับการประชุมให้ดูมืออาชีพ สนุก และเพิ่มการมีส่วนร่วมกันมากขึ้น

Google นั้นได้มีการคิดค้นและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเมื่อได้ประกาศปล่อย Gemini AI ออกมาแล้วก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะ Google Meet เองก็ได้รับฟีเจอร์และลูกเล่นใหม่ ๆ จาก AI ของ Google เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ปรับแต่งแสง สี และเสียง หรือว่าจะเป็นฟีเจอร์เพิ่มสีสันเพื่อให้การประชุมมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น เป็นต้น  ซึ่งฟีเจอร์ที่เราได้รวบรวมมาให้คุณในวันนี้ไม่เพียงแต่มาจาก Gemini เท่านั้น แต่เป็นฟีเจอร์ทั้งหมด ทั้งฟรีและพรีเมียม ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถทำความรู้จักฟีเจอร์จาก Google Meet ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ได้ที่บทความนี้เลย  ฟีเจอร์สำหรับการปรับแต่งคุณภาพการประชุมโดยรวม ฟีเจอร์ คุณสมบัติ Portrait touch-up ปรับแต่งรูปลักษณ์ของคุณให้ดูดีและพร้อมสำหรับการประชุม เช่น การปรับแต่งผิวเนียน การปรับแต่งดวงตา และการเพิ่มความสว่างให้กับใต้ตาของคุณ Studio look* ปรับความคมชัดของการประชุมให้ดีขึ้นได้แม้ความละเอียดกล้องต่ำ Studio lighting* ปรับแต่งแสง ตำแหน่งหน้าจอ ความสว่าง และสี Automatic frame หากในกล้องนั้นมีจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนผ่านเฟรมเดียวกัน คุณสามารถปรับตำแหน่งหรือซูมหน้าจอเพื่อให้ผู้เข้าร่วมคนอื่นสามารถมองเห็นทุกคนได้อย่างชัดเจน ฟีเจอร์สำหรับการปรับแต่งเสียง ฟีเจอร์ คุณสมบัติ Background noises removal ลดเสียงรบกวนได้ทันทีแม้ในห้องที่มีเสียงดังและสะท้อน เช่น ห้องครัว ห้องใต้ดินเป็นต้น Studio sound* ปรับคุณภาพของเสียงให้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้ AI สร้างความถี่ของเสียงที่มากขึ้น ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถได้ยินเสียงของคุณอย่างชัดเจนและฟังดูเป็นธรรมชาติ Adaptive audio* ตรวจจับอุปกรณ์ใกล้เคียงเพื่อลดเสียงสะท้อนเมื่อคุณและเพื่อนร่วมงานมีการใช้ห้องประชุมเดียวกันหรือนั่งบริเวณใกล้เคียงกันขณะประชุม ฟีเจอร์สำหรับการเพิ่มสีสันและสร้างความเฉพาะตัว ฟีเจอร์ คุณสมบัติ Virtual backgrounds อัปโหลดรูปภาพพื้นหลังที่ต้องการและสร้างได้ใหม่ด้วย AI-generated backgrounds Filters สร้างความสนุกสนานในการประชุมด้วยฟิลเตอร์กระต่ายน้อย ฟิลเตอร์ลูกสุนัข ฟิลเตอร์จิ้งจอก และอื่น ๆ Background blurring เบลอภาพพื้นหลังเพื่อให้ผู้ร่วมประชุมสามารถโฟกัสกับคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Stack effects ใช้ฟิลเตอร์หลากหลายอันพร้อมกัน เช่น การสร้างภาพพื้นหลังด้วย AI และใส่ฟิลเตอร์บนตัวคุณในเวลาเดียวกัน ฟีเจอร์สำหรับการเพิ่มการมีส่วนร่วม...

Continue reading

หมดปัญหาข้อมูลรกและลายตา! รวมฟีเจอร์ “ตาราง” ช่วยจัดการข้อมูลให้สวยงาม ครบถ้วนและง่ายกว่าที่เคย

วันนี้เรามีตัวช่วยดีๆสำหรับผู้ใช้งาน Google Sheets ที่จะช่วยจัดการโปรเจกต์และข้อมูลบน Spreadsheet ด้วยฟีเจอร์ตาราง “Convert to table” และ “Tables” ไปดูกันว่าฟีเจอร์ที่ว่านั้นมีความสามารถอะไรบ้าง ฟีเจอร์ Convert to Table หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มักจะปวดหัวกับการจัดการข้อมูลซ้ำๆ หรือข้อมูลที่หลากหลาย ฟีเจอร์ Convert to table จะช่วยแก้ปัญหาข้อมูลที่ดูยากด้วยการนำช่วงข้อมูลที่คุณต้องการมาจัดเรียงให้เป็นรูปแบบตารางขึ้นมาใหม่ ให้คุณสามารถจัดการและเรียกดูข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวกขึ้น  วิธีเข้าใช้งานฟีเจอร์ Convert to table:  เปิดไฟล์ใน Google Sheets > เลือกช่วงข้อมูลที่ต้องการ (เลือกหรือไม่ก็ได้) > เลือก Format > Convert to table แนะนำฟีเจอร์ Convert to table ทำอะไรได้บ้าง? จัดรูปแบบให้เป็นตารางได้อัตโนมัติ เมื่อคุณใช้ฟีเจอร์ Convert to table Google Sheets จะแปลงรูปแบบข้อมูลเดิมให้เป็นตารางอัตโนมัติที่ให้คุณสามารถจัดการข้อมูลได้ในที่เดียว กำหนดประเภทของข้อมูล สามารถแก้ไขประเภทของข้อมูลแต่ละคอลัมน์ได้ว่าต้องการให้แสดงเป็น วันที่, สกุลเงิน, เมนูดรอปดาวน์ เป็นต้น หากข้อมูลในคอลัมน์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามที่กำหนดก็จะปรากฎแจ้งเตือนที่คอลัมน์นั้นๆ ตั้งค่าจัดการตาราง สามารถเลือกปรับการตั้งค่าของตารางได้ เช่น เปลี่ยนชื่อตาราง, ปรับช่วงตาราง, ปรับแต่งสีตาราง และอื่นๆ หรือหากต้องการปิดฟีเจอร์ Convert to table เพื่อต้องการกลับไปยังรูปแบบข้อมูลแบบเดิม ให้คลิกที่ “เปลี่ยนกลับเป็นข้อมูลที่ไม่ได้จัดรูปแบบ (Revert to unformatted data)” เปลี่ยนมุมมองตารางด้วยโหมด Views โหมดมุมมอง หรือ Views สามารถช่วยคุณจัดเรียงมุมมองตารางให้ใหม่ ว่าคุณต้องการดูข้อมูลอะไรเป็นพิเศษ บอกเลยว่าตัวช่วยนี้ช่วยได้มากสำหรับไฟล์ Spreadsheet ที่มีหัวคอลัมน์หลากหลายประเภท อย่างเช่น แผนงานโปรเจกต์หรืออีเวนต์ต่างๆ เป็นต้น ฟีเจอร์ Tables หากคุณกำลังจะขึ้นโปรเจกต์ใหม่ เราแนะนำให้ลองใช้ฟีเจอร์ Tables ดู เพราะฟีเจอร์นี้เป็นการแนะนำเทมเพลตของโปรเจกต์ต่างๆมากมาย...

Continue reading