เคยเจอปัญหาของเอกสารที่มีเนื้อหายาวเหยียด มีหัวข้อยิบย่อยมากมาย จนลายตาหาข้อมูลไม่เจอบ้างไหม? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปแน่นอน เพราะ Google ได้อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ใน Google Docs อย่าง “Document Tabs” ขึ้นมา เพื่อช่วยในการจัดระเบียบเนื้อหาเอกสารให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น หากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึงการอ่านหนังสือหนาๆสักเล่ม จะทำอย่างไรให้เราสามารถกลับมาเปิดหาในส่วนที่เราต้องการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหลายคนก็มีการใช้เทคนิคติดกระดาษโน้ตคั่นหนังสือและเขียนกำกับหัวข้อเอาไว้ เช่นเดียวกันกับ Google Docs ที่สามารถใช้เทคนิคนี้ได้เช่นกัน ซึ่งก็คือการติดแท็บด้วยฟีเจอร์ “Document Tabs” นั่นเอง โดยการจัดระเบียบเนื้อหาเอกสาร คุณสามารถกำหนดเองได้ด้วยการใช้ฟีเจอร์ Document Tabs เปรียบเสมือนการแบ่งเอกสารออกเป็นส่วนๆ หรือเป็นหัวข้อต่างๆ ทำให้คุณสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วยแท็บ เช่น บทนำ เนื้อหา สรุป อ้างอิง และเมื่อคุณคลิกที่แท็บ คุณก็จะสามารถไปที่เนื้อหานั้นๆได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมีวิธีทำ ดังนี้ วิธีการใช้งาน “Document Tabs” ที่หน้าเอกสาร Google Docs ให้สังเกตที่ด้านซ้ายมือ จะปรากฎฟีเจอร์ Document Tabs สร้างแท็บใหม่: คลิกที่ไอคอน “+” เพื่อเพิ่มแท็บใหม่ ตั้งชื่อแท็บ: พิมพ์ชื่อที่สื่อความหมายชัดเจนสำหรับแต่ละแท็บ เพิ่มอีโมจิ: เพิ่มอีโมจิเพื่อการสังเกตและการจดจำที่ง่ายขึ้น สร้างแท็บย่อย: สามารถทำได้โดยคลิกที่จุด 3 จุด แล้วเลือก + Add subtab จะเห็นได้ว่าฟีเจอร์ Document Tabs เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการจัดระเบียบเอกสารให้เป็นระบบ แบ่งหัวข้อชัดเจน หาข้อมูลเจอเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับการค้นหาอีกต่อไป อ้างอิงจาก Google Workspace Updates : New document tabs in Google Docs provide a better way to organize your documents...
ลาขาดปัญหาเอกสารค้าง! ขออนุมัติลายเซ็นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย Google Docs และ AppSheet
หากต้องรอหัวหน้าเซ็นเอกสารนานๆ ลองใช้วิธีนี้สิแล้วจะไม่บั่นทอนกำลังใจในการทำงานแน่นอน! Demeter ICT ได้คัดมาแล้วว่า 2 วิธีนี้จะช่วยให้การขออนุมัติลายเซ็นจากหัวหน้านั้นมีความรวดเร็วมากขึ้นจริง อนุมัติจากที่ไหนก็ได้เลย สะดวกมาก ๆ ขออนุมัติลายเซ็นบนเอกสารด้วย eSignature จาก Google Docs ขออนุมัติลายเซ็นบนแอปพลิเคชันจาก AppSheet ซึ่งสองวิธีนี้คุณสามารถกำหนดข้อมูลได้เองเลยไม่ว่าจะเป็น คำนำหน้าชื่อ ชื่อ ลายเซ็น วันที่ หรืออื่น ๆ จากนั้นส่ง Request แล้วรออนุมัติได้เลยทันที ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน มีวิธีทำอย่างไร ไปดูกัน! วิธีที่ 1 การตั้งค่า E signature บน Google Docs เปิดหน้าเอกสารบน Google Docs แล้วนำเมาส์คลิกไปที่ส่วนที่คุณต้องการจะให้มีลายเซ็น ไปยัง Insert ในแท็บเมนูด้านบน คลิก eSignature fields 4. หากเริ่มใช้งานครั้งแรก ให้คุณตั้งชื่อเจ้าของลายเซ็นที่คุณต้องการขออนุมัติ (ชื่อหัวหน้า) หากเคยใช้งานแล้วก็สามารถเลือกชื่อที่คุณเคยสร้างไว้ได้เลย 5. เลือกรูปแบบข้อมูลที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่น ในเอกสารนี้คุณต้องการ ‘ลายเซ็นและวันที่’ จากนั้นกด Request eSignature และในเอกสารของคุณจะขึ้นแบบนี้ 6. เมื่อมีหน้าต่างปรากฏขึ้นดังภาพ ให้คุณใส่อีเมลของผู้อนุมัติลงไป (อีเมลของหัวหน้า) ซึ่งคุณยังสามารถใส่คำอธิบายเกี่ยวกับเอกสารนั้นเพิ่มเติมได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำตามขั้นตอนด้านบนเรียบร้อยแล้วอีเมลของคุณจะถูกบันทึกเป็นไฟล์ PDF แล้วส่งไปยังผู้อนุมัติซึ่งหลังจากนี้คุณจะไม่สามารถแก้ไขข้อมูลใดๆ ของเอกสารได้ และเมื่ออีเมลได้ถูกส่งไปยังหัวหน้าของคุณ เขาจะสามารถใส่ข้อมูลตามที่คุณได้ระบุไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อหัวหน้าทำการเซ็นเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก่อนกดตกลง Google Docs + PDF จะขอยืนยันอีกครั้งว่าเจ้าของลายเซ็นอนุญาตให้ใช้ลายเซ็นนี้เพื่อเอกสารฉบับนี้ใช่หรือไม่ จากนั้นกดตกลง ตัวอย่างเอกสารที่จะปรากฏที่ผู้อนุมัติ เมื่อหัวหน้าของคุณกด Complete คุณจะได้รับเอกสารที่เป็นไฟล์ PDF ส่งกลับมายังอีเมลของคุณเป็นอันเสร็จเรียบร้อย วิธีที่ 2 การสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการขออนุมัติลายเซ็นบน AppSheet สร้างไฟล์บน Google Sheets แล้วกำหนดชื่อคอลัมน์ตามต้องการ (เช่น...
Continue readingวิธีเปรียบเทียบไฟล์เอกสาร 1:1 ใน Google Docs หาจุดแตกต่างระหว่าง 2 ไฟล์ได้ในไม่กี่วิ!
คุณมีวิธีการหาความแตกต่างระหว่างเนิ้อหาของเอกสาร 2 ไฟล์อย่างไร หลายคนอาจจะใช้วิธีการเปิดหน้าต่าง 2 ไฟล์พร้อมกัน แล้วไล่ตัวอักษรทีละตัว ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้เวลาในการตรวจ และส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพดวงตาก็เป็นได้ แค่คิดก็ปวดหัวแล้วใช่ไหมล่ะ สำหรับใครที่กำลังใช้วิธีนี้อยู่ต้องหยุดก่อน! เพราะ Google Docs สามารถช่วยทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องง่ายได้ เพียงใช้ฟีเจอร์ “เปรียบเทียบเอกสาร หรือ Compare Documents“ ก็สามารถช่วยคุณแสกนหาข้อความที่เหมือนหรือแตกต่างระหว่าง 2 ไฟล์เอกสารได้ในไม่กี่วินาที ! ใช้ฟีเจอร์ “เปรียบเทียบเอกสาร”ทำอะไรได้บ้าง เปรียบเทียบเอกสารของเวอร์ชันก่อนหน้ากับเวอร์ชันปัจจุบัน เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เปรียบเทียบเอกสารสองฉบับที่เขียนโดยบุคคลต่างกัน เพื่อหาจุดที่แตกต่างกัน วิธีการใช้งานฟีเจอร์ “เปรียบเทียบเอกสาร” จากตัวอย่างจะแสดงการเปรียบเทียบเอกสารทั้ง 2 ไฟล์ ระหว่างไฟล์ A และ B ในบทความเรื่อง “เกาะช้าง” ว่ามีข้อความที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (เจ้าของเอกสารและผู้ที่มีสิทธิ์แก้ไขเท่านั้นที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้) 1. เข้าไปที่ Docs แล้วเลือกไฟล์ที่ต้องการมาเป็นไฟล์หลัก (แทนด้วยไฟล์ A) 2. ไปที่แถบเครื่องมือ เลือกเครื่องมือ (Tools) > เปรียบเทียบเอกสาร (Compare Documents) 3. เลือกไฟล์ที่ต้องการนำมาเปรียบเทียบ (แทนด้วยไฟล์ B) แล้วใส่ชื่อผู้ที่ต้องการให้ระบบแสดงเป็นผู้ที่ให้การแนะนำแก้ไขข้อความที่แตกต่าง จากนั้นให้คลิก “เปรียบเทียบ (Compare)” เพียงเท่านี้ระบบจะทำการสร้างไฟล์เอกสารใหม่ที่แสดงรายละเอียดที่แตกต่างระหว่างไฟล์ A และ ไฟล์ ขึ้นมา ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะสำหรับการหาจุดที่แตกต่างระหว่าง 2 เอกสาร ด้วยฟีเจอร์ “เปรียบเทียบไฟล์เอกสาร หรือ “Compare Documents“ ที่มีอยู่ใน Google Docs นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะแล้ว ยังทำให้การทำงานเอกสารเป็นเรื่องง่ายขึ้นอีกด้วย...
สร้าง Template เอกสารได้ง่าย ๆ ด้วยฟังก์ชัน Variable ใน Google Docs
หากคุณต้องการสร้าง Template ใน Google Docs บอกเลยว่าวิธีต่อไปนี้ง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุด ! จากเดิมที่คุณต้องคอยพิมพ์ข้อความลงบนเอกสารแล้วเว้นช่องว่างไว้เพื่อเติมข้อมูล ซึ่งบางทีเนื้อหาในบริบทนั้นอาจมีความกำกวมอยู่เล็กน้อย ทำให้ข้อมูลที่ถูกเติมลงไปนั้นยังไม่ใช่คำตอบที่คุณต้องการซะทีเดียว และนี่แหละคือเหตุผลที่พาคุณมายังบทความนี้ มาทำความรู้จักฟังก์ชัน Variable ใน Google Docs กัน ฟังก์ชัน Variable สามารถ… ✅ จัดระเบียบหน้ากระดาษได้ ✅ กำหนดข้อมูลคำตอบได้อย่างแม่นยำ ✅ สร้าง Template สำหรับเอกสารภายในองค์กร จัดระเบียบหน้ากระดาษได้ กำหนดข้อมูลคำตอบได้อย่างแม่นยำ สร้าง Template สำหรับเอกสารภายในองค์กร ชื่อ Variable นี้อาจจะฟังดูยาก แต่เราขอท้าให้คุณลองทำไปพร้อม ๆ กับเรา แล้วจะรู้ว่าประโยชน์ของ Variable นั้นมีมากมาย มากกว่าที่ระบุไว้เสียอีก ! หากพร้อมแล้ว ไปสร้าง Templates ด้วย Variable ใน Google Docs กันเลย ! สร้าง Templates ใน Google Docs คุณต้อง… เปิด Google Docs สร้างเอกสารฉบับใหม่ พิมพ์เนื้อหาที่คุณต้องการสร้าง Templates ลงบนเอกสาร เช่น จดหมายขออนุมัติเบิกหรือจดหมายลา เป็นต้น จากนั้นเมื่อมีส่วนใดที่คุณต้องการเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้กรอกข้อมูลเติมข้อมูลลงไป ให้คุณหยุดพิมพ์ก่อนแล้วอ่านต่อที่ข้อถัดไป สำหรับส่วนที่คุณต้องการเว้นไว้เพื่อกรอกข้อมูล ให้คุณพิมพ์ @ เลือก Variable 4. จากนั้นคุณจะต้องตั้งชื่อ Variable ซึ่งตรงนี้เราจะยกตัวอย่างเป็น ‘ชื่อและนามสกุล’ 5. เมื่อคุณคลิกสร้างเรียบร้อยแล้ว จะมีหน้าต่างด้านขวาปรากฏขึ้นดังรูปภาพด้านล่าง ซึ่งคุณสามารถแก้ไข ลบ และแทรกลงบนเอกสารเพื่อนำเข้า Variable ในจดหมายของคุณได้ตลอดเวลา 6....
Continue readingใน Google Docs ก็กด React ได้นะ
หลังจากที่เราได้แนะนำ How To ใส่ Emoji ใน Google Docs กันไปแล้ว วันนี้ Google ก็ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ออกมาเพิ่มอีกแล้ว เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่แพ้กันทีเดียว ฟีเจอร์นี้ก็คือ การกด Reaction ใน Google Docs นั่นเอง ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนงานเอกสารอันน่าเบื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น แถมยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้อีกด้วย และยังสามารถใช้ได้ในทุกแพ็กเกจเลยนะ วิธีการใส่ Reaction ใน Google Docs เปิด Google Docs แล้วไปยังหน้าเอกสารที่คุณต้องการ พิมพ์ @ ลงหน้ากระดาษ เลื่อนลงไปที่ Voting Chip 4. เลือก Emoji ที่คุณต้องการได้เลย เช่น 👍 1 vote ❤️ 0 vote 5. จากนั้นผู้ใช้เอกสารแต่ละคนจะสามารถคลิกที่ Emoji เพื่อ React ได้คนละ 1 ครั้ง คุณสามารถนำฟีเจอร์ Reaction ไปใช้อย่างไรได้บ้าง ? ที่มาของชื่อ Voting Chip แน่นอนว่าคุณสามารถนำไปใช้สำหรับการโหวตหรือ Poll ได้ ใช้สำหรับการแสดงการรับรู้แบบสั้น ๆ ว่าคุณรับรู้ข้อความนี้แล้วโดยที่ไม่ต้องคอมเมนต์หรือทักข้อความบอกใน Google Chat สามารถกด Reaction บนคอมเมนต์เพื่อบ่งบอกว่าคุณเห็นด้วยกับคอมเมนต์นั้นได้ กด Reaction เพื่อเป็นกำลังใจว่าข้อความนั้นเป็นที่ชื่นชอบ และอื่น ๆ ซึ่งคุณสามารถนำมาประยุกต์ใช้เองได้เลย >> ติดตามฟีเจอร์อื่น ๆ ของ Google Workspace ก่อนใคร ได้ที่ www.dmit.co.th หมวดหมู่ Blog >> ต้องการสอบถามเกี่ยวกับการใช้งานหรือสนใจใช้บริการพร้อมรับ Newsletter...
Continue readingแชร์วิธีการเชื่อมต่อกราฟใน Google Sheets, Docs, Slides เข้าด้วยกันแบบ Real-time
พอกันทีกับการที่ต้องคอยแก้ไขข้อมูลไปมา พอกันทีกับการสร้างกราฟใหม่อยู่ตลอด พอกันทีกับการที่ต้องคอย Screenshot หน้าจอแล้วไปวางในไฟล์อื่น วันนี้คุณจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลและใช้กราฟตัวเดียวกันจาก Google Sheets, Docs, Slides ได้เลยทันที ! ไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนอีกต่อไป เพียงแค่เปลี่ยนจากการเลือกประเภทของกราฟ (Bar, Column, Line, Pie) เป็นการเลือกกราฟจาก Sheets แทน ….นี่คือขั้นตอนแบบรวบรัดนะ แต่สำหรับใครที่ต้องการเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าต้องไปที่ไหน ? ทำอย่างไร ? เราได้แบ่งขั้นตอนการแทรกกราฟไว้ ดังนี้ ขั้นตอนการนำกราฟจาก Google Sheets มาที่ Docs และ Slides คุณต้องสร้างข้อมูลและสร้างกราฟใน Google Sheets ให้เรียบร้อยเสียก่อน เปิด Google Docs หรือ Google Slides ไปที่ Insert (แทรก) > Chart เลือก From Sheets 4. เลือกไฟล์ Sheets ที่มีกราฟที่คุณต้องการ เพียงเท่านี้เป็นอันเรียบร้อย ! วิธีทำให้ข้อมูลในกราฟเชื่อมต่อกันแบบ Real-time เมื่อคุณเปลี่ยนข้อมูลในตารางใน Google Sheets จะเห็นว่ากราฟใน Sheets มีการอัปเดตแบบอัตโนมัติ แต่ใน Docs และ Slides ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ให้คุณทำตามนี้ เปิด Docs หรือ Slides แล้วไปที่ Chart บนหน้ากระดาษของคุณ จากนั้นให้คุณคลิก Update ที่มุมบนขวาของกราฟนั้น ๆ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถนำกราฟมาเชื่อมต่อกันได้แบบ Real-time แล้วง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะทำงานเอกสารหรืองานนำเสนอก็ไม่ต้องคอยนำเข้ากราฟทุกครั้งที่แก้ไขข้อมูลเหมือนที่เคยทำมา ลืมการทำงานแบบเดิม ๆ ไปได้เลย ! ติดตาม Demeter ICT...
Continue readingDraft หรือ Final แค่ Docs ไฟล์เดียวจบ
Draft หรือ Final แค่ Docs ไฟล์เดียวจบ พอกันที! กับการเซฟงานเอกสารหลายเวอร์ชั่น Customer Success Story… กรณีศึกษาเรื่องราวความสำเร็จจากการใช้งาน Google Workspace โดยลูกค้าผู้ใช้งานจริง เสียเวลาไปเท่าไหร่กับกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน โดยเฉพาะไฟล์เอกสาร ที่ต้องมีการแก้ไขปรับไปมาอยู่หลายหน เชื่อได้เลยว่าเกือบทุกองค์กร ไม่แผนกใดก็แผนกหนึ่งต้องประสบปัญหานี้อยู่แน่นอน อย่างตัวอย่างเรื่องจริงจาก Customer Success Story ขององค์กรที่เกี่ยวกับ Manufacturing แห่งหนึ่ง … กระบวนการทำงานเดิม ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของพนักงานตำแหน่ง Communication Specialist จากบริษัทการผลิตแห่งหนึ่ง ขอใช้นามสมมุติว่านิพิธ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนักสื่อสารให้กับคนในองค์กร ทุกครั้งเมื่อเขาจะประกาศเรื่องใดๆให้ทุกคนในองค์กรรับรู้ เขาจำเป็นต้องร่างเนื้อหานั้นๆบน Word และต้องส่ง draft แนบไปกับอีเมล ให้กับผู้บริหาร review ตรวจสอบความถูกต้องก่อนทุกครั้ง แน่นอนว่าไม่ได้จบที่ไฟล์เดียว บ่อยครั้งที่ผู้บริหาร ต้องเดินทางไปดูงานยังสาขาอื่นๆ เขาจะทำการตรวจสอบเอกสารได้ก็ต่อเมื่อเปิด laptop เท่านั้น ทำให้ระยะเวลาการ review ช้าลงไปด้วย ที่แย่ไปกว่านั้นคือหลายครั้งที่ผู้บริหารไม่สามารถเข้าดู draft ได้ เนื่องจากติดปัญหาด้านการเข้าถึง หรือ access ไฟล์ และมีหลายครั้งที่ผู้บริหารต้องทำการตรวจสอบแก้ไขรายละเอียดผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งหลังจากนิพิธได้รับ comment เขาต้องนำมาปรับแก้ไขให้เป็น final และต้องส่งให้หัวหน้าทีม review ฉบับ final อีกครั้ง ก่อนทำการเผยแพร่ จะเห็นได้ว่ากระบวนการทำงานของนิพิธเป็นไปค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากระยะเวลาของกระบวนการทำงานค่อนข้างยาวนาน ไม่ใช่ส่งผลกระทบแต่ตัวเขาเท่านั้น แต่พนักงานทุกคนในองค์กรก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากได้รับข่าวสารล่าช้าเช่นเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าผลเสียไม่ได้มีเท่านี้แน่นอน… หลังปรับกระบวนทำงานด้วย Google Workspace แล้วชีวิตการทำงานของนิพิธก็พลิกเปลี่ยนไปเลย หลังจากองค์กรของเขาเริ่มนำ Google Workspace มาใช้ และเมื่อเขารู้ว่า Google Workspace มีเครื่องมือที่ช่วยการทำงานเขาได้… Features ที่นิพิธผู้เป็น Communication Specialist หยิบมาใช้ในกระบวนการทำงานของเขา นั่นก็คือ Google Docs และ Google Drive...
Continue readingใส่ Emoji ใน Google Docs ได้ง่าย ๆ เพียงทำตามนี้ !
Demeter ICT เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ชอบใช้ Emoji เพื่อดึงความสนใจของผู้อ่าน แต่บ่อยครั้งที่ต้องคอยไป Search ในเว็บต่าง ๆ เลือกอีโมจิหรือไอคอนที่ถูกใจ แล้ว Copy & Paste ลงบน Google Docs ซึ่งจริง ๆ แล้วมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นมาก ๆ ไม่จำเป็นต้องไปเข้าเว็บที่สองหรือเว็บที่สามเพื่อหา Emoji ที่ใช่อีกต่อไป เพราะใน Google Docs ก็สามารถใส่ Emoji ได้ เพียงทำตามนี้ ! พิมพ์ : (Colon) แล้วจะมี Emoji แนะนำขึ้นมา 👍 :Thumbs-up 👏 :Clap 🙂 :Slightly-happy 😀 :Smile 😂 :Joy 😣 :Scrunched-eyes 😡 :Rage 🎉 :Party-popper ➕ :Plus-sign คลิก Emoji ที่คุณต้องการได้เลย ! แต่ถ้าคุณต้องการค้นหา Emoji ที่ต้องการด้วยตัวเอง ให้คุณพิมพ์ : ตามด้วย Key words ได้เลย เช่น :cat, :check-mark, :sparkles ซึ่งคุณจะต้องคั่น Emoji ด้วยการเว้นช่องว่าง (Space bar) จึงจะใส่ Emoji ต่อไปได้ และใครที่ใช้เวอร์ชันภาษาไทยก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณก็สามารถใส่ Emoji ได้เหมือนกัน เช่น :ตบมือ :ชูนิ้วโป้งขึ้น :หัวใจสีแดง เป็นต้น 👍 :ชูนิ้วโป้งขึ้น 👏 :ตบมือ 🙂 :หน้ายิ้มกว้างๆ 😀 :หน้ายิ้มยิงฟัน 😂...
Continue readingProject? งานสำคัญ? ติดตาม Status ได้ง่าย ๆ ด้วย Google Docs ฟังก์ชันไม่ลับแต่หลายคนไม่รู้!
คุณเหนื่อยไหมที่ต้องคอยตามงานอยู่บ่อย ๆ ? อยากรู้เมื่อไรก็ต้องแช็ตหรือส่งอีเมลไป ต้องคอยถาม คอยตาม คอยเช็ก เรื่องพวกนี้หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้มีผลอะไรในการทำงานมากนัก แต่จริง ๆ แล้วการที่ต้องคอยตามความคืบหน้าของแต่ละโปรเจกต์หรือของแต่ละคนนั้นทำให้คุณต้องเสียเวลาในการทำงานอื่นไปด้วย มิหนำซ้ำยังทำให้คุณต้องทำงานซ้ำไปซ้ำมา คุยแล้วคุยอีก วนไปอยู่แบบนี้เรื่อย ๆ นั่นเอง แต่รู้หรือไม่ว่า Google Docs ก็มีฟังก์ชันที่ช่วยให้คุณสามารถ Track งานได้ง่าย ๆ ด้วยฟังก์ชัน Building blocks ซึ่งเป็นตาราง Track งานแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่ต้องสร้างเอง เมื่อไรก็ตามที่คุณต้องการดู Status ของงาน ก็เพียงแค่เข้ามาในไฟล์นี้ได้เลย ไปดูกันว่า Building blocks จะช่วยคุณเช็ก Status ได้อย่างไรบ้าง? ก่อนอื่นเลยถ้าคุณยังไม่รู้ว่าฟังก์ชันนี้อยู่ตรงไหนให้กดไปที่ Insert (แทรก) เลือก Building Blocks จากนั้นจะมีเมนูให้เลือกดังนี้ Meeting note, Email draft, Product roadmap, Review tracker, Project assets, และ Launch content tracker ซึ่งวันนี้เราจะโฟกัสกันที่ 4 ตัวหลังเพราะเป็นฟังก์ชันสำหรับการ Track โปรเจกต์โดยตรง Product roadmap Product roadmap จะมีหน้าตาแบบที่คุณเห็นด้านบน เริ่มต้นจาก Project, Status, Related files, และ Notes ซึ่งตารางนี้ Google Docs จะสร้างให้คุณโดยอัตโนมัติ โดยคุณสามารถเลือกสถานะของโปรเจกต์ แนบไฟล์งานได้ หรือแม้กระทั่งหากคุณต้องการจะเพิ่มผู้ที่รับผิดชอบโปรเจกต์นั้น ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน เหมาะสำหรับการเช็ก Status ตามความคืบหน้าโปรเจกต์แบบทั่วไป Review tracker ต่อมาที่ Review tracker หลายคนอาจจะสับสนอยู่เล็กน้อยว่ามันต่างจาก Product roadmap อย่างไร? ความแตกต่างก็คือ...
Continue reading