Email Marketing เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สื่อสารกับลูกค้าเชิงลึกได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ต้องเริ่มจากการให้ลูกค้ากดคลิกเปิดมันขึ้นมาก่อน อัตราการเปิดอ่าน หรือ Email Open Rate จึงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการวัดผลประสิทธิภาพของอีเมลนั้นๆ
ก่อนอื่น เรามาดูค่าเฉลี่ยการเปิดอีเมลโดยทั่วไปกัน จากรีเสิรช์ล่าสุด สามารถสรุปค่าเฉลี่ยการเปิดอีเมลจาก 3 เครื่องมือหลักไว้ได้ดังนี้
- Constant Contact : 13.94%
- Mailchimp : 21.33%
- GetResponse : 22.15%
ดังนั้น หาก Open Rate ของคุณอยู่ในตัวเลขเฉลี่ยระหว่าง 12% ถึง 25% แล้วล่ะก็ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
แล้วเราจะเพิ่มค่าเฉลี่ยการเปิดอ่านนี้ได้อย่างไร?
1. Email list ให้เป็นปัจจุบัน
Open rate, Conversion rate และ Click-through rate ล้วนขึ้นอยู่กับคุณภาพของลิสต์รายชื่ออีเมล การสร้างลิสต์อีเมลที่จะส่งไปจึงเป็นอะไรที่สำคัญและควรค่าแก่การให้ความใส่ใจอย่างมาก ถึงอย่างนั้นการสร้าง Email list ก็ไม่ได้วัดคุณภาพได้จากจำนวนเสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึง คืออีเมลลิสต์ในนั้น ต้องการที่เห็นอีเมลของคุณจริงๆ หรือเปล่าต่างหาก
คุณควรเลือกให้ดีว่าจะเพิ่มใครลงในลิสต์เหล่านั้นบ้าง การส่งคำยืนยันซ้ำสองครั้งให้แน่ใจว่าพวกเขาต้องการอีเมลจากคุณจริงๆ และช่วยลดความเสี่ยงที่เมลของคุณจะกลายเป็นสแปม ให้ความสนใจกับ Email bounce rate และลบรายชื่อที่ล้าสมัยออกไป ตรวจหารายชื่อที่มีปฏิสัมพันธ์กับอีเมลน้อย สอบถามว่าพวกเขายังต้องการรับอีเมลจากคุณอยู่หรือไม่ หากไม่ได้รับการตอบกลับ ก็ควรจะลบจากรายชื่ออีเมลออกไป
การลบลิสต์อีเมลที่เพียรหามาอย่างหนักแน่นอนว่าอาจทำให้รู้สึกไม่ดีนัก แต่การเพียรสร้างลิสต์อีเมลให้เป็นปัจจุบัน จะทำให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์และเลือกโฟกัสในอีเมลลิสต์ที่สำคัญกว่าได้
2. ตั้งชื่อหัวข้อให้น่าสนใจ
ชื่อหัวข้อเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ลูกค้าจะเลือกตัดสินใจว่าจะคลิกเปิดเข้าไปหรือไม่ ดังนั้นในการตั้งชื่อจะต้องคำนึงในมุมมองของลูกค้า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาจะได้ หรือคุณต้องการให้พวกเขาทำอะไรกันแน่ ใช้ความคิดเหล่านี้เป็นตัวโฟกัสหลักในการตั้งชื่อหัวข้อเหล่านั้น
การตั้งชื่อหัวข้อไม่ควรจะยาวเกินไป และมุ่งเน้นให้ตรงประเด็น จำนวนตัวอักษรไม่ควรมากเกิน 40 ตัว ยิ่งถ้าวิเคราะห์จากพฤติกรรมลูกค้าแล้วมีแนวโน้มที่จะเปิดผ่านโทรศัพท์มือถือที่มีการจำกัดการแสดงผลเป็นหลัก ก็ยิ่งควรตั้งให้รัดกุมเข้าไว้
อีกกฎข้อหนึ่งที่สำคัญ คือควรเลือกใช้คำที่หลีกเลี่ยงจะโดนเสี่ยงเข้าใจผิดว่าเป็นสแปม เพราะหากอีเมลของคุณส่งไปไม่ถึงกล่องข้อความเข้าล่ะก็ ลูกค้าก็ไม่สามารถเห็นได้เหมือนกัน
3. ใช้ประโยชน์จาก Preheader Text
Preheader Text เป็นอีกข้อความที่ผู้รับของคุณจะเห็นก่อนตัดสินใจคลิก ดังนั้นการเลือกใช้คำส่วนนี้ให้ชาญฉลาดก็สำคัญอย่างมาก ใช้พื้นที่ส่วนนี้ระบุว่าทำไมผู้รับของคุณควรจะกดคลิก ให้ข้อมูลส่วนสำคัญที่สุดอยู่แรกๆ เผื่อในกรณีที่มันอาจถูกตัดแหว่งไปโดยไม่รู้ตัว
4. ส่งไปในจำนวนที่พอเหมาะ
ความถี่ของการส่งอีเมล คือกุณแจสำคัญของยอดเปิดอ่าน หากว่าอีเมบที่ส่งมาถี่เกินไป ผู้รับก็อาจรู้สึกรำคาญได้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าน้อยเกินไป ผู้รับก็จะลืมคุณได้เหมือนกัน
การหาปริมาณการส่งที่ใช่จึงค่อนข้างซับซ้อน แต่คุณสามารถตรวจสอบความถี่การส่งอีเมล และวิเคราะห์ข้อมูลดูว่าแบบไหนที่เหมาะสมในแต่ละลิสต์มากที่สุด คุณอาจลองสอบถามผู้รับโดยตรงว่าต้องการได้รับอีเมลจากคุณในปริมาณมากแค่ไหน หรือทำเซอร์เวย์แบบสอบถามเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แม่นยำมากขึ้น
5. Content ต้องให้อะไรบางอย่างแก่ผู้รับ
การส่งโปรโมชันในบางครั้งนั้นไม่เป็นไร แต่ไม่ควรจะเป็นในทุกอีเมล ลองคิดตริตรองให้ดีว่าคอนเท้นท์แบบไหนที่จะมีประโยชน์ต่อผู้รับ หรือทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นบ้าง บางทีอาจจะเป็นคอนเท้นท์สาระน่ารู้ที่ช่วยลดเวลา ประหยัดเงิน หรือให้ความบันเทิง
6. ทำอีเมลให้เป็นแบบ Personalization
ไม่ใช่ผู้รับทุกคนจะต้องการและสนใจในสิ่งเดียวกันเสมอไป Email marketing software เองช่วยให้คุณสามารถสร้างลิสต์กลุ่มต่างๆ เพื่อที่จะส่งคอนเท้นท์ที่ใกล้เคียงต่อความสนใจของผู้รับกลุ่มนั้นๆ ได้ ใช้ทุกข้อมูลที่คุณมีทำให้แน่ใจว่าอีเมลที่ส่งไปนั้นจะสามารถให้บางสิ่งบางอย่างแก่ผู้รับได้ และยิ่งหากว่ามันตรงกับความต้องการแบบเจาะลึกของผู้รับแล้วล่ะก็ โอกาสที่พวกเขาจะเปิดอีเมลถัดไปของคุณก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเหมือนกัน
และทั้งหมดนี้ก็เป็น 6 เคล็ดลับดีๆ จาก Zendesk บริษัท Customer Service Software ระดับโลกที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบริการลูกค้า ซึ่ง Email Marketing ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์สื่อสารกับลูกค้าได้ แต่ต่อให้เนื้อความจะดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หากผู้รับไม่กดเปิดอีเมลขึ้นมาเสียก่อน การให้ความสำคัญแก่ 6 หัวข้อข้างต้นนี้จึงเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก