เคล็ด(ไม่)ลับ การบริการลูกค้าบน Facebook ที่ดีต้องทำอย่างไร?

ปัจจุบัน Facebook เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1.79 พันล้านคนที่วนเวียนเข้าสู่ระบบทุกวัน โดย Facebook เป็นสื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่สุดในตอนนี้ คนทั่วโลกใช้บัญชี Facebook ในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครอบครัว และ การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ ที่พวกเขาสนใจ และในตอนนี้หลาย ๆ ธุรกิจต้องกลับมาคิดถึงเรื่องการบริการลูกค้าบนช่องทางออนไลน์ของพวกเขาแล้วว่า มันส่งผลต่อ ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience หรือ CX) อย่างไร? การมีบัญชี Facebook เอาไว้เพื่อสื่อสารกับลูกค้าแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Facebook Page และ Messenger ของคุณกลายเป็นศูนย์รวมข้อมูลที่ลูกค้าเข้ามาหาข้อมูลหรือแจ้งปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์ โดยผู้ใช้ Facebook ส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบการสื่อสารแบบโทรศัพท์หรือคุยกันเพื่อได้ยินเสียงสักเท่าไหร่ หลาย ๆ ครั้งเวลามีปัญหาหรือต้องการสอบถามข้อมูลจึงมักจะติดต่อมาทาง Inbox หรือ Messenger เป็นส่วนมาก แต่พวกเขาก็จะคาดหวังถึงความรวดเร็วในการตอบกลับจากร้านค้าเหมือนกับเวลาที่เขาพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัวของเขา 52% จากผู้ที่ถูกสำรวจโดย The Manifest พบว่า Facebook เป็นสื่อทางสังคมออนไลน์ที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค (ผู้ซื้อ) มากที่สุด ดังนั้น Facebook Page ของคุณจึงมีความสำคัญอย่างมาก ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Facebook ตอนนี้จึงได้มีการวิจัยมากมายที่ช่วยให้ทีมบริการลูกค้าสามารถบริการบนสื่อช่องทางออนไลน์ได้ดีมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของ Inbox หรือ Messenger เราได้รวบรวมคำแนะนำเกี่ยวกับการ ซัพพอร์ตลูกค้าบนช่องทาง Facebook มาดังนี้ ช่วยทีมบริการลูกค้าด้วยข้อมูลซัพพอร์ตลูกค้าที่โพสต์บนหน้าเพจของคุณ ซัพพอร์ตลูกค้าด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น Page Insight, Chatbots และ Facebook Messenger เพิ่มตัวช่วยการซัพพอร์ตช่องทางออนไลน์ และช่องทางคำติชมของลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงมากขึ้น โดยหากคุณเป็นธุรกิจที่มี Facebook Page หลาย ๆ เพจ ทำให้ต้องมี Messenger หลายแบรนด์ หรือรวมไปถึงมีทีมบริการและซัพพอร์ตลูกค้าหลายคน คุณคิดว่าจะเกิดความสับสนและผิดพลาดมากแค่ไหนกัน จะดีกว่าไหมที่จะมีตัวช่วยในการ Track ถึงที่มาของลูกค้า...

Continue reading

Zendesk Sell เครื่องมือขาย เพื่อฝ่ายขาย ที่ตอบโจทย์ ‘มากกว่า’ การขาย

หากว่าคุณเป็นพนักงานขายที่กำลังหัวหมุนอยู่กับการจดข้อมูลลูกค้าล่ะก็ ‘เราเข้าใจคุณ’ หากว่าคุณเป็นหัวหน้าฝ่ายขายที่ไม่รู้จะอัปเดต Sales Pipeline ของพนักงานคนอื่นอย่างไร ‘เราก็เข้าใจคุณเหมือนกัน’ และหากว่าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้ด้วยความต้องการที่จะตามหาเครื่องมืออะไรสักอย่างให้เรื่องยุ่งยากทั้งหมดมันง่ายขึ้นล่ะก็ ‘คุณมาถูกทางแล้ว’ จากแบบสำรวจ 80% ขององค์กรทั้งหมด เห็นตรงกันว่า Zendesk Sell ทำให้ฝ่ายขายทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนี่ก็คือเหตุผลใน 4 มุมมองว่าทำไมองค์กรของคุณถึงต้องใช้ Zendesk Sell 📌Zendesk Sell รวมทุกอย่างที่พนักงานขายต้องการ ขึ้นชื่อว่าพนักงานขายก็หัวหมุนพออยู่แล้ว ไหนลูกค้าจะโทรเข้ามา ไหนจะจดบันทึก ไหนจะส่งอีเมล กว่าจะปิดดีลได้ก็ไม่รู้ว่าเผลอละเลยใครไปบ้างหรือเปล่า  หมดยุคที่พนักงานขายจะต้องจดบันทึกลงสมุดโน๊ตที่แสนจะเสี่ยงต่อการทำข้อมูลสูญหายทั้งยังเหนื่อยอย่างไม่จำเป็น ระบบของ Zendesk Sell ให้พนักงานขายสามารถทำงานร่วมกันในหน้าแพลตฟอร์มเดียวแบบเรียลไทม์ ช่วยซัพพอร์ตพนักงานขายอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหน้าข้อมูลลูกค้าที่จัดระเบียบได้ทั้งหมดว่าลูกค้าคนนี้เป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร นอกจากเรื่องจัดเก็บข้อมูลแล้ว Zendesk Sell ก็ช่วยลดงานที่ไม่จำเป็นได้มหาศาล พนักงานขายไม่ต้องเสียเวลาสลับหน้าจอไปมาระหว่าง CRM กับ Inbox เลยแม้แต่น้อย เพียงกดซิงค์อีเมลก็รับส่งอีเมลจาก Zendesk Sell ได้เลย พร้อม Tracking จำนวนครั้งที่ลูกค้าเปิดหรือคลิกอีเมลเสร็จสรรพ ในเรื่องของการนัดหมายก็ทำได้ง่ายแสนง่าย ติดตั้งแอปพลิเคชัน Zendesk Sell ลงโทรศัพท์มือถือเพื่อเข้า Google Map ไปหาลูกค้าได้ทันใจ หรือหากต้องการโทรสายหาก็เพียงกดคลิกเดียวจบก็ทำได้แล้ว ไร้กังวลว่าต้องมาคอยรายงานหัวหน้าหรือจดบันทึกไม่ทัน เพราะ Zendesk Sell ช่วยลดการซ้ำซ้อนในการบันทึกข้อมูล ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้แม้ในโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ ‘86% ของพนักงานยขาย ใช้เวลากับงานซ้ำซ้อนน้อยลงเพราะ Zendesk Sell’ 📌Zendesk Sell ทำให้หัวหน้าเห็นภาพรวมทุกอย่าง เพราะเป็นหัวหน้า พนักงานขายดีลกับลูกค้าถึงไหน วัน ๆ หนึ่งคุยกับใครบ้าง ไปที่ไหน หรือแม้แต่จะประมาณการณ์ยอดขายอย่างไรย่อมเป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องรู้ ถึงอย่างนั้นการจะอัปเดตสถานะการขายกลับเป็นเรื่องยาก Sales Stage ของพนักงานแต่ละคนกลับไม่มีมาตรฐานตรงกันเสียเลย จะออกรีพอร์ตก็ยากไปหมด Zendesk Sell ทำให้ทุกคนในฝ่ายร่วมกันกำหนด Sales Pipeline เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมระบุตัวเลขระดับขั้นของ Sales Stage ให้ดูได้ง่าย...

Continue reading

Nielsen เชี่ยวชาญด้านการสำรวจข้อมูลสร้างการทำงานร่วมกันของพนักงานใน 100 ประเทศด้วย Google Workspace

Nielsen (นีลเส็น)เป็นหนึ่งในบริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกโดยมีพนักงานกว่า 56,000คน ใน 100 ประเทศ ร่วมกันทำวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกทางการตลาดที่ช่วยให้เข้าใจกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น จึงได้นำเครื่องมือ Google Workspace มาใช้เพื่อช่วยให้พนักงานทั่วโลกทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล Nielsen ปรับปรุงการทำงานร่วมกันโดยการย้ายระบบงานทั้งหมดไปไว้บนคลาวด์ ซึ่งช่วยสร้างความสะดวกสบายในการสื่อสารและการทำงานของพนักงานทุกคน อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและลดขั้นตอนการทำงาน  ผลลัพธ์ของการใช้ Google Workspace บน Cloud ผู้ใช้งาน Google Workspace 56,000 รายกว่า 100 ประเทศเชื่อมต่อกันแบบเรียลไทม์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้าน IT support และลดต้นทุนการเดินทางลง 20% เพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน สร้างแรงบันดาลใจและแบ่งปันความรู้ ไวต่อการสื่อสารผ่านการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ จุดเริ่มต้นของการใช้ Google Workspace Nielsen (นีลเส็น) เป็นหนึ่งในบริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกจึงต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำงานร่วมกัน โดยการย้ายเครื่องมือและข้อมูลต่างๆไปไว้ในระบบคลาวด์ เพื่อให้พนักงานจากทั่วโลกสามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานของทุกคนในบริษัท ทั้งในด้านการประหยัดเวลา การทำงาน ความปลอดภัยของข้อมูล และช่วยเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้า ด้วยกลยุทธ์นี้เอง Nielsen จึงต้องการชุดแอปพลิเคชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสามารถรองรับการทำงานร่วมกันได้ทุกที่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังต้องการโซลูชันที่พร้อมสำหรับองค์กรและมีความปลอดภัยสูง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการให้พนักงานทั้งหมดใช้งาน Google Workspace Pain Point ที่สามารถแก้ได้ด้วย Google Workspace Pain Point หลักๆของ Nielsen คือ ขั้นตอนการทำงาน เนื่องจากทีมงานใช้อีเมลเป็นช่องทางในการรับส่งหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล งานแต่ละชิ้นจะถูกดำเนินการในกล่องจดหมายแต่ละฉบับ ทำให้มีการส่งอีเมลหลายเวอร์ชั่นกลับไปมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ต้องรอไฟล์เอกสารเป็นเวลานาน Nielsen จึงมองหาแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่าง Google Workspace ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ ช่วยประหยัดเวลา และลดขั้นตอนการทำงาน การทำงานร่วมกันโดยใช้เครื่องมือบนคลาวด์ ใช้ Google Workspace ในการทำงานร่วมกันแบบ Collaboration เพื่อข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ดีขึ้น ใช้ Google Drive เพื่อเข้าถึงข้อมูลและไฟล์เอกสารแบบเรียลไทม์ การแสดงความคิดเห็น และทำงานร่วมกันผ่าน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides...

Continue reading

Google Workspace หรือ Microsoft 365 ? คำตอบที่ใช่สำหรับธุรกิจ

หากท่านที่กำลังมีข้อสงสัยอยู่ในใจว่า Google Workspace หรือ Microsoft 365 แบบไหนที่จะเหมาะกับเป็นเครื่องมือการทำงานในองค์กรมากกว่ากัน หรือแบบไหนที่จะคุ้มค่ามากกว่ากันนะ วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้ท่านคลายข้อสงสัยและเลือกคำตอบที่ใช่ของธุรกิจว่าระหว่าง  Google Workspace หรือ Microsoft 365 สิ่งไหนจะตอบโจทย์องค์กรและใช่มากที่สุด Google Workspace เป็น Product ของ Google  Microsoft 365 เป็น Product ของ Microsoft ทั้ง 2 เครื่องมือนี้เป็น Product ที่มาจากค่ายยักษ์ใหญ่และเป็นที่รู้จักกันดี รวมถึงมีจุดเด่นที่เหมือนกันคือ การทำงานบน Cloud ที่ทุกอย่างจะเป็นแบบออนไลน์ และมีประโยชน์หลัก ๆ คือ อีเมลองค์กร การทำงานในเรื่องของเอกสารแบบเรียลไทม์ การจัดเก็บข้อมูล การประชุมออนไลน์ และความปลอดภัย เอาล่ะ ถ้าเหมือนกันขนาดนี้ แล้วอันไหนล่ะที่ตอบโจทย์มากที่สุด ? ขอบอกไว้ก่อนว่าในความเหมือนกันก็ยังมีข้อแตกต่างอยู่บ้าง ซึ่งจะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย ดีไซน์ภาพรวม ทั้ง 2 ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานระดับองค์กรเพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แต่ดีไซน์เครื่องมือและความสะดวกสบาย รวมถึงการใช้งาน Google Workspace ก็คงจะได้เปรียบกว่า เพราะไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ เพียงแค่มีเว็บเบราว์เซอร์ก็เข้าทำงานได้แล้ว รวมถึงคอนเซปที่ว่า Everything you need to get anything done, Now in one place ตามชื่อเขาก็บอกแล้วว่า ทุกอย่างที่ต้องใช้ทำงาน รวมอยู่ในที่เดียว! ซึ่งมันก็รวบรวมอยู่ในที่เดียวจริง ๆ นะ ถ้าคุณเข้าหน้า Gmail ไปแล้ว ไม่ว่าจะส่งอีเมล แชท ประชุมออนไลน์ ก็อยู่ในหน้านี้โดยไม่ต้องสลับไปมา หรือจะไปแอปพลิเคชันอื่นก็แค่คลิกเดียวเท่านั้น แล้วหน้าตาบนโทรศัพท์ล่ะ เป็นอย่างไร ? ถ้าพูดถึงบนแอปทั้ง IOS และ Android Google Workspace มีการออกแบบอินเทอร์เฟซที่สวยงาม...

Continue reading

4 สิ่งสำคัญ สุดปัง! ในการให้บริการเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดี(CX)ให้กับลูกค้า มีอะไรบ้าง? มาดูกัน!

หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน กลยุทธ์ในการขายอาจเป็นเพียงการพัฒนาสินค้า/บริการให้โดดเด่น หรือ มีการให้โปรโมชันส่วนลด ซึ่งการสร้างกลยุทธ์เพียงเท่านี้ก็ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างง่ายดาย  แต่ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดมีสูงมาก การสร้างกลยุทธ์สำหรับสินค้าและราคาอาจยังไม่พอ! ในหลาย ๆ องค์กร มีการปรับตัวและสร้างความแตกต่าง ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดี(Customer Experience หรือ CX) ให้กับลูกค้า แล้วการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าทำได้อย่างไร? การสร้างประสบการณ์ที่ดีระหว่างคุณกับลูกค้า ส่วนใหญ่จะเป็นการดูแลและการให้บริการลูกค้าที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า จนทำให้เกิดการใช้สินค้าหรือบริการของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาและงานวิจัยมากมายพบว่า ประสบการณ์ที่ดี(CX) ของลูกค้า มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก เช่น งานวิจัยของ PWC รายงานว่า ลูกค้ายินดีที่จะใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับสินค้า/บริการที่มีราคาสูงกว่าปกติ หากได้รับประสบการณ์หรือบริการที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้หลาย ๆ ท่าน คงพอจะทราบแล้วว่า สำหรับการสร้างประสบการณ์ที่ดี(CX) ให้กับลูกค้านั้นมีความสำคัญอย่างไร เดี๋ยวเรามาดู 4 สิ่งสำคัญในการให้บริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีนั้น มีอะไรบ้าง ผู้เขียนสรุปมาให้แบบสั้น ๆ ดังนี้ ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อเข้ามาจากช่องทางไหนก็ตาม ทั้งการติดต่อผ่านพนักงาน, self-service หรือแชทบอท ลูกค้าคาดหวัง จะได้คำตอบที่ครบถ้วนจากการติดต่อเข้ามาตั้งแต่ในครั้งแรกเลย ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ติดต่อฝ่ายบริการ นั่นหมายถึงลูกค้าต้องมีเรื่องที่ทำให้กำลังเดือดเนื้อร้อนใจ หรือไม่สบายใจอยู่ หากต้องรอคอยเป็นเวลานาน ไม่เป็นการส่งผลดีกับองค์กรอย่างยิ่ง หากลูกค้ากำลังเจอปัญหา เช่น ได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่สั่งซื้อไป มีการติดต่อฝ่ายบริการแต่ต้องเล่าเรื่องซ้ำกันถึง 3 รอบกับพนักงาน 3 คน เนื่องจากมีการโอนเรื่อง/โอนสายไปยังพนักงานผู้รับผิดชอบคนนั้น ๆ ทำให้ต้องเล่าเรื่องที่ไม่พอใจซ้ำ ๆ อารมณ์โกรธ/โมโห จะทวีคูณมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นคุณควรหาวิธีแก้ปัญหา เช่น ต้องมีแหล่งเก็บข้อมูลของลูกค้าที่ไม่ว่าใครก็จะเห็นข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกันได้ เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการช่วยเหลือลูกค้ามากที่สุด ควรเปิดช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับองค์กรได้หลากหลายช่องทาง และในแต่ละช่องทางนั้น ต้องสามารถติดต่อได้อย่างสะดวกและง่ายดาย อาทิเช่น Instant Messaging ยอดนิยม อย่าง Line OA, Facebook Messenger เป็นต้น โดย 4 สิ่งสำคัญนี้ หากมีเครื่องมือหรือตัวช่วยในการจัดการก็จะทำให้การบริการสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก โดยมีตัวช่วยที่ชื่อว่า Zendesk เป็น Customer Service Software ที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้าง 4...

Continue reading

เบื้องหลังความสำเร็จของ Carsales เว็ปไซต์ขายรถยนตร์ออนไลน์จากออสเตรเลีย

พวกเราอยู่ในยุคที่ช่องทางออนไลน์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อเสื้อผ้า รองเท้า การสั่งอาหาร การชำระค่าบริการต่างๆ ที่มีให้เลือกตามความสะดวกของแต่ละคน แต่ “การซื้อรถ” นับว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ สำหรับหลายๆคนใช่ไหมล่ะ? ลูกค้ามักจะเริ่มค้นหาข้อมูลรายละเอียดต่างๆของรถยนตร์ที่พวกเขาหมายตาเป็นอันดับแรกก่อน ดังนั้น Carsales จึงได้เริ่มพัฒนาระบบขายรถยนต์ในเครือ ผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์ขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถจองหรือดูรายละเอียดรถได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  สำหรับ “Carsales.com.au” ใช้แนวคิดง่ายๆที่ว่า “เส้นทางการซื้อรถของลูกค้า ควรเป็นไปอย่างราบรื่น” สิ่งที่ลูกค้าควรได้ คืออำนวยความสะดวกให้มากที่สุด ไร้รอยต่อ ลดความซับซ้อน ประหยัดเวลาให้เราและลูกค้า ยิ่งได้รับประสบการณ์ที่ดี ลูกค้าพึงพอใจ ก็จะซื้อสินค้าหรือบริการเราได้มากขึ้น  Carsales มีแบรนด์รถชั้นนำมากกว่า 15 แบรนด์ให้บริการทั่วทั้งออสเตรเลีย นอกเหนือจากการขายรถยนตร์ผ่านเว็ปไซต์ในเครือ บริษัทก็ยังมีธุรกิจซื้อ-ขาย เรือ, จักรยาน, อุปกรณ์ตั้งแคมป์ ไปจนถึงเครื่องจักรในฟาร์มอีกด้วย และฐานลูกค้าของ Carsales มีทั้งผู้บริโภคทั่วไปจนไปถึงตัวแทนจำหน่ายรถและสินค้าต่างๆ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจ และพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทาง Carsales จึงประสบกับปัญหาสำคัญด้วยกัน 3 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ ช่องทางการสื่อสารระหว่าง Carsales กับลูกค้าที่มีหลากหลายยิ่งกว่าแต่ก่อน (เช่น Email, Facebook, Twitter, Live Chat, โทรศัพท์ เป็นต้น) ซึ่งบริหารจัดการได้ยาก มีสิทธิที่จะพลาดโอกาสการซื้อขายได้ จึงต้องการรวบรวมคำถามทุกช่องทาง “ทั้งหมด” มาไว้ที่เดียว Carsales มีระบบที่ต้องเข้าไปทำงานหลายระบบ จึงอยากให้มีพื้นที่ที่ทำงานหลักของทีมออนไลน์อยู่บนระบบใดระบบหนึ่งไปเลย ไม่สามารถดูรายงาน (Report) ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการขาย และข้อมูลการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคน จึงทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การติดตามการทำงานหรือการแก้ไขปัญหาใดๆ ทำได้ยากลำบาก ยิ่งพูดถึงการบริหารจัดการในเชิงการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะไม่มีตัวเลขชี้วัดใดๆ Carsales จึงเลือกใช้ Zendesk ผู้ให้บริการโซลูชัน Omnichannel ระดับโลก เป็นทางออกที่สามารถช่วยแก้ปัญหาข้างต้น ด้วยประสิทธิ์ภาพที่เพิ่มขึ้น และ ระยะเวลาในการให้บริการที่ลดลง ทำให้ Carsales กลายเป็นเว็ปไซต์ขายรถยนต์ออนไลน์อันดับ 1 ของออสเตรเลีย ในปัจจุบัน Zendesk ช่วยทำให้สามารถจัดการคำร้องที่มีถึง 37,000...

Continue reading

ยกระดับการทำงานร่วมกันให้ง่ายขึ้นด้วย Google Workspace

คุณพร้อมหรือยัง!! ที่จะปรับเปลี่ยนชีวิตการทำงานในองค์กรของคุณให้ดีขึ้น? หมดปัญหาเมลล่ม ทำงานร่วมกันหลายๆเเผนกได้อย่างเป็นทีมเวิร์ค มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ทำให้เกิดผลงานดีๆ เเบ่งปันความรู้ เเชร์ความคิดใหม่ๆร่วมกันได้ง่ายขึ้น สร้างประสบการณ์การทำงานที่ดีให้กับทุกคนในองค์กร ทำให้ชีวิตการทำงานไม่น่าเบื่ออีกต่อไป  วันนี้จะมาเสนอเครื่องมือที่ช่วยกู้ชีพพนักงานในองค์กรให้กลับมาสนุก มีชีวิตชีวาในการทำงานอีกครั้งด้วยระบบที่ตอบโจทย์การทำงานในยุคปัจจุบัน นั่นคือ Google Workspace ระบบที่จะช่วยให้ชีวิตการทำงานของคนในองค์กรง่ายขึ้นไปอีกขั้น   ลดเวลาการทำงาน เเละทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้ทุกที่ทุกเวลา Google Workspace ทำให้ทีมงานทุกคนทำงานเเละเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้นเเบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการเเชทกับคนในองค์กรผ่าน Google Chat หรือการทำงานร่วมกันผ่านการเเชร์ไฟล์ Docs, Sheets, Slides ให้ทุกเเผนกที่เกี่ยวข้องเข้ามาเพิ่มเติม เเก้ไขข้อมูลได้พร้อมกัน  จึงทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม ทุกคนในองค์กรรู้สึกเป็นกันเองและคุ้นเคยกันมากขึ้น นอกจากนี้ Google Workspace ยังช่วยประหยัดเวลาในการทำงานของพนักงานได้ถึง 20% หรือ 171 ชม.ต่อปี จึงทำให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายด้าน IT ไปได้กว่า 20%   ความปลอดภัยของข้อมูลด้วยมาตรฐานระดับโลก Google Workspace จัดเก็บข้อมูลอยู่บนระบบคลาวด์ซึ่งได้รับรองมาตรฐานระดับโลกว่าเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่มีความสเถียรสูง เก็บข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ป้องกันการเกิด Spam ได้กว่า 99% นอกจากนี้เเล้วยังป้องกันอีเมลล่ม การโดนเเฮกข้อมูล ลดปัญหาข้อมูลสูญหาย เเละสามารตรวจสอบกู้คืนข้อมูลได้อีกด้วย Google Workspace ยังมีเครื่องมือ Shared drives ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงกลางที่บริษัทเเละองค์กรเป็นเจ้าของข้อมูล พนักงานจึงไม่สามารถลบข้อมูลบริษัท หรือลักลอบเอาข้อมูลบริษัทไปได้เมื่อลาออก ลดความเสี่ยงการละเมิดข้อมูลได้ถึง 95% เลยทีเดียว นี่จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายเเห่งที่เลือกใช้ Google Workspace ในการทำงาน   จัดตารางประชุมองค์กรได้ง่ายขึ้นเเม้ไกลกัน บริษัทคุณมีปัญหาด้านการนัดหมายคุยงานไหม? หลายบริษัทการนัดหมายคุยกันระหว่างเเผนกเป็นเรื่องที่ยากมากด้วยตารางงานที่เเตกต่างกัน ไม่ว่าจะ นัดลูกค้า นัดทีมงาน บางทีก็ลืมนัด   เพราะงานยุ่ง บ้างก็จำวันนัดประชุมผิด ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วยการประชุมออนไลน์ผ่านปฏิทิน (Google Calendar) ใช้เพื่อนัดหมายการประชุมกับคนในองค์กรด้วยการส่งคำเชิญการประชุมออนไลน์ผ่านอีเมล สามารถดูข้อมูลตารางเวลาว่างของทุกคนได้ในปฏิทินเดียว โดยผู้นัดสามารถกดดูตารางนัดหมายของเพื่อนร่วมงานว่าเเต่ละคนว่างช่วงไหนบ้างโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินข้ามเเผนกไปมาเพื่อถามให้ยุ่งยากอีกต่อไป เเละทุกๆการนัดจะมีการเเจ้งเตือนก่อนประชุม ช่วยให้มั่นใจได้ว่าทีมจะไม่พลาดกำหนดการนัดหมายเเน่นอน Google Calendar สามารถประชุมได้ทุกที่ผ่านออนไลน์ได้ในคลิกเดียวผ่าน Google Meet ไม่ว่าจะจากคอมพิวเตอร์...

Continue reading

ส่งอีเมลผิด ยกเลิกได้ ด้วยการตั้งค่าใน Gmail

หลายครั้งที่เรามักจะส่งเมลผิด ลืมเนบเอกสารบ้าง ลืมชื่อเรื่องบ้าง ด้วยเหตุนี้เอง Gmail ได้ออกฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าถูกใจหลาย ๆ คนทำงานแน่นอน นั่นก็คือ การยกเลิกอีเมล (Undo Send) นั่นเอง ซึ่งวิธีตั้งค่านั้นง่ายมาก ๆ โดยที่เราก็สามารถทำได้เอง เราไปเริ่มกันเลย!  วิธีตั้งค่า เข้าไปที่ Gmail.com ไปที่รูปฟันเฟือง (Setting) > คลิก See All Setting 3. เมื่อเข้ามาในหน้า Setting แล้ว ไปตรง Undo Send ตรง Undo Send สามารถกำหนดระยะเวลาที่สามารถยกเลิกได้หลังส่งอีเมลไปแล้ว ได้ตั้งแต่ 5 – 30 วินาที เลื่อนลงมาล่างสุดและกด Save Change เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว เวลาส่งอีเมลจะพบว่าเราสามารถกด Undo หรือยกเลิกอีเมลได้ ซึ่งระยะเวลาให้กด Undo ก็เป็นไปตามที่ตั้งค่าไว้  เพียงไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถกดยกเลิกอีเมลที่ผิดได้แล้ว ทางที่ดีควรตรวจสอบเนื้อหาและผู้รับให้ถูกต้อง แต่หากพลาดจริง ๆ Gmail ก็สามารถกดยกเลิกได้ โดยทำตามขั้นตอนที่เราบอกได้เลย  Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็กเกจ 02 030 0066...

อัพเกรดทีม CS ของคุณได้ง่ายๆ ด้วยกลยุทธ์ Omnichannel ที่คุณอาจไม่เคยรู้!

ในปัจจุบันหลาย ๆ บริษัทต้องมีทีมที่เรียกว่า CS หรือ Customer Service & Support เพื่อดูแลลูกค้าของตัวเองกันทั้งนั้น จริงไหมครับ? เพราะว่าตอนนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า การรักษาลูกค้าไว้ให้อยู่กับเราเป็นสิ่งที่สำคัญ (จึงได้มีตำแหน่งพวกคุณที่กำลังมาอ่านบทความของผมไงครับ ฮ่า ๆ) แต่สำหรับยุคใหม่ ยุคที่มีอะไรคล้าย ๆ กัน และมีธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ลูกค้าหรือผู้บริโภค พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้ของคู่แข่ง หรือ เลิกเพื่อไปใช้สินค้าประเภทอื่นได้อยู่เสมอ แล้วอะไรล่ะ? ที่จะช่วยให้เรารักษาลูกค้าและอยู่กับเราไปได้ตลอด ผลจากการวิจัยในหลาย ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นในไทยหรือต่างประเทศ ผลบอกว่า ปัจจัยหลักของการรักษาลูกค้าในปัจจุบัน คือ “Customer Experience (CX) หรือ ประสบการณ์ที่ลูกค้าพบเจอ นั่นเอง” บางคนอาจจะบอกว่า ไม่ใช่! แล้วคุณภาพสินค้าและราคาล่ะ? จริง ๆ ก็ยังใช่อยู่ครับ แต่เป็นเพียงแค่ส่วนนึงเท่านั้น ถ้าพูดถึง “การรักษาลูกค้า” นะครับ ย้ำนะครับ! ว่าเราพูดถึงการการรักษาลูกค้า  ซึ่งหลาย ๆ คนที่ทำตำแหน่งเกี่ยวกับ CS ก็คงพอจะรู้อยู่แล้วว่า การบริการหรือการซัพพอร์ตลูกค้ามีผลต่อ CX และการตัดสินใจซื้อของลูกค้าขนาดไหน เพราะฉะนั้น วันนี้เรา Demeter ICT จึงมีกลยุทธ์ที่มีชื่อว่า Omnichannel มาแนะนำให้กับคุณ ซึ่งหลาย ๆ คนก็อาจจะเคยได้ยิน หรือ ไม่เคยได้ยินก็แล้วแต่ แต่ในวันนี้ผมจะมาอธิบายอย่างละเอียดให้กับคุณว่า มันคืออะไร? แล้วจะช่วยอัพเกรดทีม CS ของคุณได้อย่างไร? Omnichannel คือ กลยุทธ์การบริการลูกค้ารูปแบบนึง ที่จะช่วยรวบรวมช่องทางการติดต่อของลูกค้า ที่มาจากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Social Media, Email, Website, Mobile phone และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้ในที่เดียว โดยที่คุณไม่ต้องไปเปิดหลาย Tab หลาย Device...

Continue reading