Search
Close this search box.
Search
Close this search box.

รู้จัก 4 วิธี เก็บข้อมูลลูกค้าแบบมืออาชีพ ขับเคลื่อนการตลาดให้ปัง!

ทุกวันนี้ ‘ข้อมูล’ เรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติอันล้ำค่าสำหรับการทำธุรกิจ เพราะธุรกิจในทุกวันนี้แทบจะต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ ถ้าหากธุรกิจของคุณไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ นั่นอาจทำให้ธุรกิจของคุณสูญเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้ธุรกิจหยุดชะงักจนไปถึงการปิดตัวลงไปเลยก็ได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลในปัจจุบันก็มีหลากหลายแบบหลากหลายวิธี และแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ที่แตกต่างกันออกไป โดยในบทความนี้เราจะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักการเก็บข้อมูลว่ามีกี่วิธี? อะไรบ้าง? พร้อมยกตัวอย่างการเก็บข้อมูลแต่ละวิธีให้ทุกท่านเห็นภาพกันแบบชัด ๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน! วิธีของการเก็บข้อมูลในปัจจุบันมี 4 ประเภทดังนี้ ภาพจาก Bloomreach Zero-Party Data (ข้อมูลศูนย์กลาง) เป็นการเก็บข้อมูลโดยตรงจากลูกค้าที่เต็มใจมอบให้กับแบรนด์ผ่านการทำแบบสำรวจ แบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ การตอบคำถามจากการเล่นเกมที่ธุรกิจหรือแบรนด์จัดขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกค้ามา การตั้งค่าความยินยอมก่อนที่จะสมัครเป็นสมาชิกบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมสะสมคะแนนต่าง ๆ ตัวอย่าง Zero-Party Data ลูกค้าบอกไซส์และสไตล์เสื้อผ้าที่ต้องการตอนสมัครสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนของร้านขายเสื้อผ้า ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องโปรดในช่องทางสตรีมมิ่ง การเลือกประเภทอาหาร “มังสวิรัติ” ในแอปพลิเคชันส่งอาหาร ข้อดีของ Zero-Party Data เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความแม่นยำ เนื่องจากลูกค้าเป็นผู้ให้ข้อมูลโดยตรง จึงสะท้อนถึงความชอบและความสนใจที่แท้จริงของลูกค้าได้ ความปลอดภัยในการใช้งานสูง เพราะลูกค้ายินยอมและให้สิทธิ์ในการรวบรวมข้อมูลกับแบรนด์อย่างชัดเจน ข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจะช่วยให้คุณสามารถสร้างความไว้วางใจและความภักดีกับลูกค้าได้ง่ายและดียิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ Personalized กับลูกค้า เป็นการยกระดับการมีส่วนร่วมให้ดีขึ้น และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดให้กับแบรนด์ของคุณ ข้อเสียของ Zero-Party Data เป็นข้อมูลที่ต้องอาศัยการให้ข้อมูลจากลูกค้า ซึ่งบางครั้งอาจจะได้มาไม่ครบถ้วน แบรนด์ต้องใช้ความพยายามและเวลาในการรวบรวมข้อมูล ต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าแบ่งปันข้อมูลให้กับแบรนด์ให้ได้ คลิก เพื่ออ่านบทความทำความรู้จัก Zero-Party Data แบบเจาะลึก ได้ที่นี่  First-Party Data (ข้อมูลปฐมภูมิ) เป็นการเก็บข้อมูลที่แบรนด์ได้รวบรวมมาจากลูกค้าโดยตรงผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีด้วยตัวเอง เพื่อให้แบรนด์สามารถระบุตัวตน พฤติกรรม ความต้องการ และประวัติของลูกค้า ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าแต่ละคนได้ ตัวอย่าง First-Party Data ประวัติการซื้อสินค้า ยอดชำระ และวันที่ลูกค้าซื้อสินค้าบนช่องทางร้านค้าออนไลน์ พฤติกรรมการเข้าดูเว็บไซต์ ระยะเวลาที่อยู่ในหน้าจอของลูกค้าบนเว็บไซต์บริษัทจองตั๋วเครื่องบิน จำนวนครั้งที่ลูกค้าเปิดแอปฟิตเนสและการคลิกวิธีที่ต้องการออกกำลังกาย ข้อดีของ First-Party Data ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์และมีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า แบรนด์เป็นเจ้าของข้อมูลนี้โดยตรง สามารถควบคุมวิธีการใช้ข้อมูลได้ตามความต้องการ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการได้รับข้อมูลเหล่านี้มา สามารถนำข้อมูลมาสร้างการตลาดที่เฉพาะตัว แบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานได้ ข้อเสียของ First-Party Data ต้องให้ความสำคัญกับมาตรการในการรวบรวมข้อมูลจะต้องมีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎระเบียบ แบรนด์ต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน...

Continue reading

รู้จัก Zero-Party Data กลยุทธ์เก็บข้อมูลลูกค้าด้วยความเต็มใจ

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Zero-Party Data คืออะไร? Zero-Party Data คือ ข้อมูลที่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานจงใจและเต็มใจแบ่งปันให้กับธุรกิจหรือแบรนด์โดยตรง ทาง Forrester ให้คำจำกัดความไว้แบบนี้ ซึ่งในบางกรณีลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากธุรกิจหรือแบรนด์เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกัน ข้อมูลเหล่านี้สามารถเก็บได้จากการทำแบบสำรวจต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ การทำแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ หรืออาจเป็นคำตอบจากลูกค้าที่ตอบมาเพื่อเล่นเกมที่ธุรกิจหรือแบรนด์นั้น ๆ จัดขึ้น ภาพจาก stackadapt ความสำคัญของ Zero-Party Data ด้วยความที่ในปัจจุบันมีกฏหมายหรือข้อบังคับมากมายเกี่ยวกับการป้องกันหรือความปลอดภัยของข้อมูล เช่น GDPR, CCPA หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ PDPA ข้อบังคับเหล่านี้ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้ามีความยุ่งยากกว่าเมื่อก่อน หรือถ้าคุณต้องการมองหาข้อมูลจากบุคคลที่สามก็ทำให้มีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย จึงทำให้หลาย ๆ ธุรกิจ เริ่มหันมาทำ Zero-Party Data กันมากยิ่งขึ้น Zero-Party Data ไม่เพียงแต่จะสร้างความปลอดภัยทางด้านข้อมูลให้กับธุรกิจหรือแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีให้กับลูกค้าของคุณอีกด้วย เพราะพวกเขาเชื่อใจได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาอนุญาตและเต็มใจที่มอบให้คุณแล้ว เพื่อให้คุณมอบประสบการณ์ที่ Personalized กับพวกเขาได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิด Conversion หรือการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย ประโยชน์ของ Zero-Party Data มีอะไรบ้าง? 1. ประสบการณ์ที่เฉพาะตัวขั้นสูง (Hyper-Personalized Experiences) จากข้อมูล Zero-Party Data แบรนด์สามารถนำข้อมูลมาต่อยอดในการสร้าง Personalized Marketing โดยปรับแต่งคำแนะนำของสินค้า ข้อความทางการตลาด หรือแม้แต่เนื้อหาต่าง ๆ ให้มีความเฉพาะตัวและเหมาะกับลูกค้าแต่ละคน 2. แคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Effective Marketing Campaigns) เมื่อคุณทำความรู้จักลูกค้าและมีข้อมูลที่เชิงลึกมากขึ้น ช่วยให้คุณสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีผลลัพธ์และมี Conversion ที่สูงขึ้นตามไปด้วย 3. การมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ดีขึ้น (Improve Customer Engagement) จากผลสำรวจพบว่า หากแคมเปญการตลาดหรือเนื้อหาของคุณมีความเฉพาะตัวและตรงใจกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าอยากมีส่วนร่วมหรือแบ่งปันข้อมูลให้กับแบรนด์ของคุณมากขึ้นเช่นกัน จุดเด่นของ Zero-Party Data คืออะไร? อยู่บนพื้นฐานความยินยอม (Consent Based) ลูกค้าเต็มใจให้ข้อมูลนี้แก่แบรนด์ของคุณ โดยมักจะคาดหวังถึงประสบการณ์ที่ดีขึ้นหรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล มีความแม่นยำสูง...

Continue reading

สรุป 10 Marketing Trends in 2024 จาก Forbes

โลกการตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ปี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และอื่น ๆ  อีกมากมาย ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการทำการตลาดทั้งสิ้น ซึ่งในปี 2024 นี้ ทาง Forbes ได้รวบรวม Marketing Trends ใหม่ ๆ รวมถึงเทรนด์ที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ๆ ในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจของคุณ และเป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริงสำหรับธุรกิจ เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันในปี 2024 นี้ได้ จะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน! เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! 1. AI Marketing Automation การผสานเอา AI มาปรับเข้ากับการตลาดหรือที่เรียกว่า AI Marketing จะช่วยยกระดับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ของบริษัท ตัวอย่างเช่น แชทบอทรับส่งข้อความที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบกับลูกค้าด้วยการมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว (Personalization) ซึ่งช่วยสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าที่แท้จริงมากขึ้น เท่ากับว่านักการตลาดในปี 2024 จะต้องมีทักษะด้าน AI Management ต้องเป็น AI Manager หรือ AI Director ทำหน้าที่บริหารจัดการ AI ในฐานะเป็นหัวหน้าของ AI เพื่อจัดการกระบวนการทำงานระหว่างมนุษย์กับ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด 2. Augmented Reality (AR) & Virtual Reality (VR) เทคโนโลยีสมจริงอย่าง AR และ VR ช่วยให้การเล่าเรื่องแบรนด์สมจริงมากยิ่งขึ้น และเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ในปี 2024 นี้ คาดหวังว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะประสานเข้ากับความพยายามทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ร้านค้าแนวเทคโนโลยีสามารถยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้ และเพิ่มมูลค่าให้แก่แบรนด์ของพวกเขาได้โดยการเสนอประสบการณ์การลองใช้งานสินค้าแบบเสมือนจริงแก่ลูกค้า 3. Hyper-Personalization ด้วยความก้าวหน้าของ AI และการเรียนรู้ความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ส่งผลให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าจำนวนมากได้ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงประสบการณ์และปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์ แคมเปญการตลาด และออกแบบข้อเสนอให้กับลูกค้าได้ตรงใจมากยิ่งขึ้น เช่น มีลูกค้าชื่อว่า...

Continue reading

6 Steps สร้าง Data-Driven Marketing ให้ประสบความสำเร็จ

บทความก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงนิยามของการทำ Data-Driven รวมถึงความสำคัญและข้อดีของการทำ Data-Driven Marketing ไปแล้ว ใครอยากอ่านบทความ ‘ไขกุญแจสู่ความสำเร็จ สร้างการตลาดที่ตรงใจลูกค้าด้วยกลยุทธ์ Data-Driven’ สามารถคลิก ที่นี่ ในวันนี้เราจะมาบอกขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ Data-Driven Marketing แบบ Step by Step ที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจและยังช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้อีกด้วย ซึ่งการสร้างกลยุทธ์ Data-Driven Marketing มีด้วยกัน 6 ขั้นตอนดังนี้ เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! 1. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Culture) ก่อนอื่นการที่องค์กรจะสามารถสร้างกลยุทธ์ Data-Driven Marketing ได้นั้น สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูล (Data-Driven Organization) ทุกคนในองค์กรต้องตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลและเห็นประโยชน์ของการใช้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจหรือกระบวนการทำงานต่าง ๆ การจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลนั้น ต้องได้รับการส่งเสริมจาก CEO หรือฝ่ายบริหาร ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้และวิเคราะห์ข้อมูลในการทำงาน รวมถึงแสดงประสิทธิภาพของการทำ Data-Driven โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ง่าย รวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วที่สุด เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าการขับเคลื่อนกระบวนการทำงานด้วยข้อมูลนั้นมีประโยชน์อย่างแท้จริง 2. การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย (Data Objectives) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการทำ Data-Driven Marketing เพื่อให้นักการตลาดทราบว่าเราต้องการใช้ข้อมูลอะไรบ้าง? และเราจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำอะไร? พร้อมกับการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPIs) เพื่อติดตามความคืบหน้าและประเมินความสำเร็จของการทำ Data-Driven Marketing ว่าตรงกับเป้าหมายที่องค์กรต้องการหรือไม่? ยิ่งเป็นการช่วยให้นักการตลาดสามารถทำงานได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายของการใช้ Data-Driven Marketing สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เป็นเป้าหมายระยะยาว เช่น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ หรือการลดต้นทุนให้องค์กร เป้าหมายเชิงปฏิบัติการ เป็นเป้าหมายระยะสั้น เช่น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ การส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย หรือการกระตุ้นยอดขายจากแคมเปญการตลาด 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำ Data-Driven Marketing สามารถเก็บได้จากหลากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่เราเก็บมาเอง ข้อมูลจากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ข้อมูลจากอีเมลหรือข้อความบนมือถือ ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย...

Continue reading

กลยุทธ์ Data-Driven สร้างการตลาดที่ตรงใจลูกค้า

ยุคดิจิทัลเป็นยุคที่ข้อมูลเข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจในตอนนี้ (Data-Driven) ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร? เล็กใหญ่แค่ไหน? คุณก็จำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลเพื่อมาประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการดำเนินการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ธุรกิจของคุณนั้นเติบโตขึ้น เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Data-Driven คืออะไร ? Data-Driven (การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล) คือ การทำหรือตัดสินใจบางสิ่งบางอย่าง โดยการอ้างอิงและวิเคราะห์จากข้อมูลเป็นหลัก เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจหรือได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นนั่นเอง การที่ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของลูกค้าเป็นหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงความเอาใจใส่ลูกค้า เพราะว่าคุณให้ความสำคัญและพยายามที่จะเข้าใจลูกค้าของคุณว่าเขาต้องการอะไร ไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่ม ROI ให้กับบริษัท แต่การทำ Data-Driven ยังช่วยให้ธุรกิจทำ Trend Forecasting ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย Data-Driven มีความสำคัญกับนักการตลาดอย่างไร ? Data-Driven เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักการตลาดเลือกใช้ข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง ทั้งข้อมูลที่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรงหรือผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึกและช่วยในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตหรือที่เรียกว่า Data-Driven Marketing นั่นเอง เพราะการที่นักการตลาดจะปล่อยแคมเปญการตลาดออกไปนั้น คงไม่ใช่ลองปล่อยไปก่อนแล้วค่อยมาดูว่าลูกค้าสนใจไหม? แต่ธุรกิจจะต้องศึกษาถึงพฤติกรรม ความต้องการ ปัญหาของลูกค้าของตัวเองให้ดีเสียก่อน ยิ่งถ้าคุณเป็นธุรกิจระดับกลางถึงใหญ่การจะปล่อยแคมเปญการตลาดออกไปสักชิ้น จะต้องใช้ทั้งเวลา แรงและเงินทุนที่มหาศาล ถ้าแคมเปญการตลาดนั้นไม่ตอบโจทย์ลูกค้า คุณอาจจะไม่ได้เสียแค่แรง เวลาและเงินทุนเพียงเท่านั้น แต่อาจจะสูญเสียลูกค้าคนสำคัญไปด้วย นี่คือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าทำไมการทำ Data-Driven Marketing จึงมีความสำคัญกับนักการตลาดและธุรกิจของคุณ ข้อมูล Data-Driven Marketing มีอะไรบ้าง ? 1. ข้อมูลจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน (Web & Mobile App Analytics) คือ การวิเคราะห์ข้อมูลจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจากการติดตาม MAU (Monthly Active User) ว่ามีลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์หรือเข้าแอปของคุณต่อเดือนกี่คน และสามารถเจาะลึกลงไปได้ว่าลูกค้าของคุณมาจากช่องทางไหน หน้าเพจใดที่ลูกค้าใช้เวลามากที่สุด และเมื่อใดที่พวกเขาออกจากหน้าเว็บไซต์และแอปของคุณ 2. ข้อมูลจากอีเมลและข้อความบนมือถือ (Email & Mobile Messaging Analytics) คือ การเก็บข้อมูลลูกค้าจากการส่งข้อความโดยตรงถึงลูกค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพราะปรับแต่งข้อความให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น Email, Message หรือ Push Notification ที่จะช่วยระบุแนวโน้มความสนใจของลูกค้าได้จาก Open rates, Click-through rates, Conversion...

Continue reading

เจาะลึก Framework ของ Braze ซอฟต์แวร์ Martech หนึ่งเดียวที่ได้อยู่ใน Nasdaq

Braze แพลตฟอร์มการตลาด (Martech) แบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถสร้างประสบการณ์การมีส่วนร่วมของลูกค้า รวมถึงสร้างแคมเปญการตลาดแบบไร้รอยต่อได้ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะบนมือถือ (แอป) เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล ข้อความและอื่น ๆ ด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทีมการตลาดโดยเฉพาะ ดังนั้นแคมเปญการตลาดของคุณจะมีประสิทธิภาพและเพิ่มการมีส่วนร่วมกับลูกค้าของคุณได้ดียิ่งขึ้น โดยในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาเจาะลึกถึงกระบวนการทำงาน Marketing Journey Framework ของ Braze ว่ามีกระบวนการทำงานอย่างไร? และจะช่วยตอบโจทย์การทำงานของทีมการตลาดอย่างไรได้บ้างแบบ Step by step แพลตฟอร์ม Braze จะแบ่ง Marketing Journey ของลูกค้าเป็น 3 ส่วน ด้วยกัน ได้แก่ https://www.dmit.co.th/wp-content/uploads/2022/11/Screen-Recording-2565-11-23-at-09.56.56-1.mov 1. Listen (รับฟังข้อมูลลูกค้า) รับฟังข้อมูลลูกค้าพร้อมสร้างฐานข้อมูล First Party Data ที่มาจากธุรกิจของคุณเองโดยตรง ซึ่งสามารถติดตามและเก็บข้อมูลของลูกค้าได้จากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะบนมือถือ (แอป) เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล และอื่น ๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคนได้แบบเรียลไทม์ Integrations : ผสานฐานข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ ที่คุณมารวมไว้ในที่เดียวและสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มกันได้อย่างอิสระ APIs และ SDKs : ช่วยในการติดตามและรวบรวมข้อมูลของลูกค้าขณะเวลาใช้งานแบบเรียลไทม์และเชื่อมต่อข้อมูลลูกค้ากับแพลตฟอร์มที่ใช้งานอยู่ 2. Understand (ทำความเข้าใจลูกค้า) นำข้อมูลจากฐานข้อมูล First Party Data ที่เราเก็บมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าและความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทีมการตลาดสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ใช่และตรงใจลูกค้ามากที่สุด Dynamic Segmentation : สามารถแบ่งและจัดกลุ่มลูกค้าอัตโนมัติโดยอิงจากฐานข้อมูล เพื่อสร้างกลุ่มลูกค้าที่มีคุณสมบัติหรือพฤติกรรมที่เหมือนกัน โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ที่คุณสามารถกำหนดได้เอง Journey Orchestration (Canvas Flow) : ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทีมการตลาดสร้างและออกแบบแคมเปญการตลาดแบบอัตโนมัติตาม Customer Journey ได้แบบง่าย ๆ ใน ในรูปแบบของ Multi-Channel Campaign พร้อมทั้งยังมีฟีเจอร์ที่ทีมการตลาดต้องการอย่าง A/B Testing...

Continue reading

สำเร็จ! แพลตฟอร์ม Braze ได้อันดับ 1 ในหมวดการสร้าง Push Notification จาก G2

G2 เว็บไซต์ Software Marketplace ชื่อดังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้เข้าชมกว่า 80 ล้านคนต่อปี ไม่ว่าจะเป็นพนักงานจากบริษัทชั้นนำในลิสต์ Fortune Global 500 หรือผู้ที่กำลังมองหาซอฟต์แวร์ที่จะมาทรานสฟอร์มกระบวนการทำงานในองค์กรส่วนใหญ่มักจะเลือกเว็บไซต์ G2 ในการดูรีวิวประกอบการตัดสินใจ ภาพจาก www.G2.com แพลตฟอร์ม Braze ได้ถูกเสนอชื่อในรายการ Grid® Report for Push Notification Software | Fall 2023 และได้รับอันดับที่ 1 จาก 42 แพลตฟอร์ม ให้เป็นผู้นำของแพลตฟอร์มด้านการสร้าง Push Notification จากรายการดังนี้ ได้รับคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า 100/100 ในการสร้าง Push Notification สูง มีส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่ที่สุด ผู้ใช้งานกว่า 97% ในคะแนนแพลตฟอร์ม Braze 4 หรือ 5 ดาวขึ้นไป ผู้ใช้งานกว่า 93% เชื่อว่าแพลตฟอร์ม Braze มาถูกทางแล้ว ผู้ใช้งานกว่า 90% มีแนวโน้มที่จะแนะนำแพลตฟอร์ม Braze ให้กับผู้อื่น นอกจากนี้แพลตฟอร์ม Braze ยังอยู่ในหมวดการสร้างการตลาดบนมือถือ (Mobile Marketing), การตลาดอัตโนมัติ (Marketing Automation) และ เครื่องมือปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization) ภาพจาก www.G2.com มองหา Braze นึกถึง Demeter ICT Demeter ICT พาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Braze อย่างเป็นทางการในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก (APAC) เราไม่เพียงแต่จะให้บริการ License ของตัวระบบกับคุณเพียงเท่านั้น เรายังมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการ Training และมีใบ Certificate ในการให้คำปรึกษา ช่วยออกแบบกลยุทธ์ ตั้งค่าระบบ อบรมการใช้งาน รวมถึงการออกใบกำกับภาษีและส่วนของบัญชีต่าง...

Continue reading

AI Marketing ยกระดับกลยุทธ์การตลาดจากปัญญาประดิษฐ์

AI (Artificial Intelligence) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เป็นสิ่งผู้คนกำลังให้ความสนใจและค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ถูกพัฒนาให้สามารถให้เหตุผล เรียนรู้ และดำเนินการได้ด้วยตนเอง ทำให้ AI เข้ามามีบทบาทอย่างมากในเรื่องของการทำงาน การช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ มากมาย และหนึ่งในนั้นคือ AI ที่ช่วยในด้านการทำการตลาด ที่เรียกว่า AI Marketing นั่นเอง AI Marketing คืออะไร? AI Marketing คือ การนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาประยุกต์ใช้กับการทำการตลาดและช่วยในการตัดสินใจตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ซับซ้อน โดยอิงจากการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสังเกตกลุ่มเป้าหมายหรือแนวโน้มทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่าง ๆ AI Marketing ยังช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการตลาด โดยการเก็บข้อมูลจากแคมเปญการตลาดที่เราส่งออกไปหาลูกค้า เช่น การปรับแต่งข้อความให้เหมาะสม การเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ให้กับแคมเปญการตลาด การคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้นักการตลาดประหยัดเวลาในบางส่วนลงและบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้น AI Marketing สามารถช่วยขับเคลื่อนการตลาดส่วนไหนได้บ้าง? จากผลสำรวจคาดการณ์ว่า AI จะช่วยขับเคลื่อนการตลาดและเศรษฐกิจโลกโดยรวม 45% ภายในปี 2030 ซึ่งสามารถขับเคลื่อนได้หลายวิธี จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน! 1. Personalization (การปรับแต่งที่เฉพาะตัว) AI สามารถปรับแต่งข้อความทางการตลาด เนื้อหา และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย (Personalized) ซึ่งสามารถทำได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อสินค้าในอดีต พฤติกรรมบนเว็บไซต์และกิจกรรมต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย 2. Automation (การทำงานอัตโนมัติ) AI สามารถสร้างกระบวนการทำงานของการตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation) ได้หลายอย่าง เช่น การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing), การตลาดบนช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing) รวมถึง การจัดการโฆษณา (Ad Management) ซึ่งสามารถช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้กับทีมการตลาด โดยไปมุ่งเน้นกับการสร้างกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น 3. Prediction (การทำนาย) AI สามารถใช้เพื่อทำนายพฤติกรรมและระบุแนวโน้มของลูกค้าจากการเก็บข้อมูลโดยรวมทั้งหมด...

Continue reading

Get Real with Braze Bangkok 2023

Braze จับมือกับ DEMETER ICT จัดงานสัมมนาสุดยิ่งใหญ่! มุ่งบุกขยายฐานลูกค้าในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ จบลงไปแล้วกับงานสัมมนาสุด Exclusive! อย่าง Get Real With Braze Bangkok 2023 ที่ทาง Braze และ DEMETER ICT ได้ร่วมกันจัดขึ้นในวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรม Park Hyatt Bangkok โดยในงานนี้มีเหล่านักธุรกิจ, CEO, CMO, Head of Marketing และ Marketing Manager ชั้นนำของประเทศไทยเข้าร่วมกว่า 240 ท่าน+ ภายในงาน ‘Get Real with Braze Bangkok 2023’ ได้มีการเชิญลูกค้าของ Braze ในประเทศไทยอย่าง NocNoc, TrueMoney, Pomelo และ Robinhood รวมถึง Sponsors อย่าง Twilio Segment, Verticurl และ Appflyers มาร่วมกันแชร์กลยุทธ์และประสบการณ์ในการออกแบบการสร้าง Engagement และ CX อย่างสร้างสรรค์ให้กับลูกค้าสำหรับธุรกิจระดับ Enterprise ให้ทุกท่านได้ฟังกัน คุณ Pui Seng Lee (Head of Growth, TrueMoney) และคุณ Anupong Tasaduak (Chief Commercial Officer, NocNoc) บรรยายในหัวข้อแรก ‘Getting Creative with CRM and Growth Strategies’ คุณ Kanit L (Principle Consultant of...

Continue reading