ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจเข้มข้นขึ้นทุกวัน การสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีให้กับแบรนด์ นอกจากจะเป็นการดึงดูดใจผู้บริโภคในครั้งแรกแล้ว ยังเป็นการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวที่มั่นคงและยั่งยืนอีกด้วย ในบทความนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า Customer Loyalty คืออะไร? และเจาะลึกถึงกลยุทธ์การสร้าง Customer Loyalty ให้สำเร็จจะต้องทำอย่างไรบ้าง? ไปดูกัน! เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Customer Loyalty คืออะไร? Customer Loyalty (ความภักดีของลูกค้า) คือ ความผูกพันที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์จนเกิดเป็นความภักดี เวลาที่พวกเขาซื้อสินค้าก็จะนึกถึงแบรนด์ของคุณเป็นอันดับแรก โดยลูกค้าที่มีความภักดีกับแบรนด์มักจะเป็นผู้ที่สร้างผลกำไรสูงสุดให้กับบริษัท เนื่องจากพวกเขามีแนวโน้มใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าใหม่ และอาจมีการแนะนำแบรนด์ให้กับลูกค้าคนอื่น ๆ อีกด้วย แบรนด์ที่สามารถสร้าง Customer Loyalty ได้ประสบความสำเร็จ มักจะมอบประสบการณ์ที่ตรงใจและเฉพาะตัว (Personalization) เพื่อสร้างคุณค่าทางอารมณ์ให้กับลูกค้า มากกว่าแค่เสนอโปรโมชันหรือสิทธิพิเศษทั่วไป ความท้าทายในการสร้าง Customer Loyalty การสร้างสมดุลระหว่างแรงจูงใจและผลกำไร รางวัลหรือโปรโมชันที่น่าดึงดูดใจส่งผลต่อการสร้าง Customer Engagement แต่ก็ต้องสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการรักษาสมดุลระหว่างแรงจูงใจของลูกค้าและความยั่งยืนของธุรกิจให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า การเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกที่มากเพียงพอ แต่บางบริษัทมีข้อจำกัดเรื่องข้อมูล ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งข้อเสนอหรือสร้างกลยุทธ์ความภักดีให้ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ “We see our customers as invited guests to a party, and we are the hosts. It’s our job every day to make every important aspect of the customer experience a little bit better.” Jeff Bezos CEO & Founder of Amazon การจัดการข้อมูล อุปสรรคในการรวบรวม วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ นักการตลาดจึงจำเป็นต้องมีระบบที่คอยติดตามและวัดผลความสำเร็จในการสร้าง Customer Loyalty ด้วย 6 อุปสรรค์ในการสร้าง...
Continue readingอัปเดต 10 Marketing Trends สำหรับปี 2025 มีอะไรบ้าง?
นับตั้งแต่ยุคโฆษณาในหนังสือพิมพ์มาจนถึงปัจจุบันที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทรนด์การตลาดมีการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค นั่นหมายความว่านักการตลาดไม่สามารถเลือกใช้วิธีการเดิม ๆ ที่เคยได้ผลในอดีตมาใช้ตลอดเวลาได้ ฉะนั้นการมองหาแนวโน้มหรือเทรนด์ใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ธุรกิจรักษาความได้เปรียบและวางแผนกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ในปี 2025 นี้ เราได้ทำการสรุป 10 เทรนด์การตลาดสำคัญ โดยมีทั้งที่ยังเป็นเทรนด์ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วและเทรนด์การตลาดใหม่ ๆ ที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในปี 2025 นี้ จะมีอะไรบ้าง? เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! 1. AI in Marketing เทรนด์การตลาดกับ AI ยังไปต่อด้วยกันยาว ๆ ด้วยการเปิดตัวเครื่องมือ AI ของแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย เช่น ChatGPT, Gemini, Asana AI, BrazeAI™ หรือ Zendesk AI แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังเติบโตและเปลี่ยนแปลงอนาคตของการตลาดอย่างชัดเจน ในปี 2025 นี้ นักการตลาดจะยังคงปรับตัวกับการใช้เทคโนโลยี AI ในกระบวนการทำงานหลายส่วน ๆ และเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ มาดูกันว่านักการตลาดสามารถทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านไหนกันได้บ้าง? วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและคาดการณ์แนวโน้ม (Data Analysis) จากผลวิจัยของ The Work Innovation Lab พบว่า 30% ของพนักงานใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้ว และจำนวนกว่าสองเท่า (62%) ต้องการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภคและลูกค้า เพราะพวกเขาเชื่อว่าข้อมูลที่ได้จาก AI และ Machine Learning สามารถช่วยให้นักการตลาดเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณาที่ชาญฉลาดและตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่เสียเงินไปกับกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าของเรา วางแผนได้ดีขึ้น ด้วยการการคาดการณ์แนวโน้มที่แม่นยำ เข้าใจพฤติกรรมของผู้ซื้อได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าและความภักดี โดยการส่งคอนเทนต์ที่เฉพาะตัวกับแต่ละคน (Personalization) ภาพจาก Report: The State of AI at Work...
Continue readingfoodora สร้างความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของลูกค้าผ่าน BrazeAI™
foodora บริษัทจัดส่งอาหารที่ดำเนินกิจการกว่า 200 เมืองทั่วยุโรป เป็นผู้นำในด้านธุรกิจ Digital Quick Commerce โดยมีพันธกิจ คือการมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ รวดเร็ว และราคาที่คุ้มค่า เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญอื่น ๆ ในชีวิตพวกเขา และสามารถสั่งสิ่งที่ต้องการได้ทุกเวลาตามใจชอบ โดยไม่มีความรู้สึกผิด บริษัทมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเสมือนมิตรภาพ โดยสร้างความไว้วางใจและความภักดีไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความที่ foodora เข้าใจความต้องการของลูกค้า จึงได้ตั้งเป้าที่จะส่งมอบการสื่อสารด้วยข้อความที่มีความ Personalized กับลูกค้าแต่ละคนในเวลาที่เหมาะสม เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าในระยะยาว ความท้าทายและเป้าหมายของ foodora ความท้าทาย foodora ต้องการแพลตฟอร์มที่สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้แบบครอบคลุม เพื่อรวบรวมการสื่อสารกับลูกค้าทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว ก่อนหน้านี้พวกเขามีปัญหาด้านการสื่อสารด้วยข้อความที่ไม่ค่อยตรงกับความต้องการของลูกค้า และต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มหลายตัวที่ขาดข้อมูลเชิงลึก ส่งผลให้พลาดโอกาสและสูญเสียลูกค้าไป เป้าหมาย เป้าหมายของ foodora มีความชัดเจน คือการเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของลูกค้า (Customer Engagement) โดยการส่งข้อความที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละคนแบบ Personalized เพื่อเพิ่มอัตรา Conversion Rate และความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงการลด Unsubscribe Rate ยกระดับการรักษาความสัมพันธ์และสร้างความภักดีที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าที่ใช้งาน foodora กลยุทธ์ทางการตลาดที่ foodora เลือกใช้ ด้วย Braze ทำให้ foodora สามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดแบบ Cross-Channel Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านหลากหลายช่องทางที่ลูกค้าของพวกเขาอยู่ เช่น ผ่าน Email, Push Notification และ In-app Messaging นอกจากนี้พวกเขายังใช้เครื่องมืออย่าง Intelligent Timing ที่เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของ BrazeAI™ ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อเปลี่ยนการส่งข้อความแบบเดิม ๆ ตามเวลาที่กำหนด มาเป็นการส่งข้อความในเวลาที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนมากที่สุด โดย foodora เริ่มทดลองใช้ฟีเจอร์ Intelligent Timing กับลูกค้าใหม่ในออสเตรีย ช่วงที่พวกเขากำลัง Onboarding กับ Braze โดยผลลัพธ์ช่วงทดลองแสดงให้เห็นว่ามี Unsubscribe Rate...
Continue readingBraze x LINE OA ปลดล็อกศักยภาพทางการตลาดไปอีกขั้นผ่าน LINE ด้วย Braze ได้แล้วตอนนี้!
ในฐานะนักการตลาด คงรู้กันดีว่าการเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางที่พวกเขาใช้งานบ่อยมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับแบรนด์ระดับโลกที่ต้องปรับตัวตามช่องทางที่มีความนิยมต่างกันในแต่ละประเทศ ถ้าพูดถึงประเทศในแถบเอเชีย LINE ก็เป็นแอปส่งข้อความยอดนิยมทั้งในประเทศไทยและเอเชีย ซึ่ง LINE ไม่ได้มองแค่ว่าตัวเองนั้นเป็นแค่แอปส่งข้อความ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน ที่รวมทั้งการช้อปปิ้ง เล่นเกม ชำระเงิน และการติดตามแบรนด์ที่ชื่นชอบ โดย LINE มีเป้าหมายที่จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานในชีวิต” ที่ให้บริการ 24 ชั่วโมงและตลอด 365 วัน โดย Braze แพลตฟอร์มด้านการสร้าง Customer Engagement ได้มองเห็นถึงความสำคัญในการทำการตลาดผ่านช่องทาง LINE ในประเทศไทยมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุด! Braze ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการว่าตอนนี้ Braze สามารถเชื่อมต่อกับ LINE OA ได้แล้ว! การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในการส่งข้อความผ่านช่องทางแชทที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ในไทย มาดูกันว่า Braze และ LINE OA สามารถทำอะไรร่วมกันได้บ้าง? สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าผ่านมือถือด้วย Braze และ LINE Braze ตั้งใจช่วยให้แบรนด์เติบโตด้วยการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ตรงใจและมีคุณค่าในทุกการเดินทางของลูกค้า ผ่านช่องทางที่ลูกค้าชื่นชอบ นักการตลาดสามารถใช้ข้อมูลของตัวเองที่เก็บมาในการส่งข้อความที่น่าสนใจและเฉพาะบุคคล (Personalization) พร้อมเชื่อมโยงประสบการณ์ผ่าน LINE เข้ากับช่องทางการตลาดอื่น ๆ ให้ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน 1. ตั้งค่าและขยายการตลาดบน LINE ได้ง่ายและรวดเร็ว ด้วยเครื่องมือที่สามารถตั้งค่าได้รวดเร็วและมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย Braze ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อบัญชีเข้ากับ LINE ได้ทันที และสร้างแคมเปญได้อย่างง่ายดายด้วยการสร้างเทมเพลตพร้อมใส่ข้อความที่ต้องการและปรับแต่งเนื้อหาตามกลุ่มเป้าหมายได้อย่างอิสระ นักการตลาดสามารถจัดการเพื่อนบน LINE ได้สะดวก สามารถอัปเดตและดูสถานะของลูกค้าได้ว่าใครสมัครรับข่าวสารบ้างหรือใครยังไม่ได้ยืนยันการสมัครสมาชิกเป็นต้น 2. สร้างความสัมพันธ์ด้วยการส่งข้อความที่ตรงใจลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเปลี่ยนใจมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ ลูกค้าที่ใช้ LINE คาดหวังให้แบรนด์มีการสื่อสารที่น่าสนใจเหมือนคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว ด้วย Braze แบรนด์ต่าง ๆ สามารถใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อส่งข้อความที่ตรงใจผ่านเนื้อหาแบบเฉพาะบุคคล เช่น คำแนะนำสินค้า โปรโมชัน คะแนนสะสม และการแจ้งเตือน และ Braze ยังช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามข้อมูลต่าง ๆ เช่น...
Continue reading5 Marketing Trends สำหรับธุรกิจ Financial Services ในปี 2024 ที่น่าจับตามอง
ธุรกิจที่ให้บริการทางด้านการเงินกำลังได้รับประโยชน์จากการใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้รับผลลัพธ์ที่โดดเด่น พวกเขาใช้การแบ่งกลุ่มลูกค้าที่ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลที่เก็บมาจากลูกค้าเองโดยตรง (Zero-Party Data) ในการวางแผนแคมเปญการตลาดที่เฉพาะตัว (Personalized Marketing) นอกจากนี้ธุรกิจเหล่านี้ยังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั่วทั้งองค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาดเท่านั้น แต่ทุกแผนกในองค์กรจะร่วมมือกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า สำหรับปี 2024 มีแนวโน้มการตลาดในด้านการเงินที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งสรุปจากรายงาน Global Customer Engagement Review (CER) ของ Braze เราจะมาดูกันว่าเทรนด์การตลาดที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจที่ให้บริการด้านการเงินเหล่านี้มีอะไรบ้าง? และนักการตลาดสามารถสร้างความล้ำหน้าให้กับองค์กรของคุณให้เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างไร? 5 Marketing Trends สำคัญสำหรับธุรกิจ Financial Services 1. จำเป็นต้องมีเครื่องมือและทักษะที่เหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจด้านการเงินจะได้ประโยชน์จากการที่ทีมการตลาดทำงานร่วมกับทีม Data Scientists และ BI (Business Intelligence) เพราะทีมเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจข้อมูลลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และนำข้อมูลไปใช้ในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทำโปรโมชันที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้นหรือการสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มทักษะด้านข้อมูลให้กับนักการตลาดเองก็สำคัญเช่นกัน เพราะจะทำให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาทีมอื่นมากเกินไป การให้เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและแนะนำการตลาด แก่นักการตลาดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้นักการตลาดทำงานได้ง่ายขึ้น และลดช่องว่างด้านทักษะในองค์กร 2. ใช้ช่องทางที่หลากหลายและเหมาะสมในการสื่อสารกับลูกค้า จะช่วยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมและกลับมาใช้บริการบ่อยขึ้น ข้อมูลจาก Braze บอกว่า การส่งอีเมลหรือแจ้งเตือนผ่านมือถือ (Push notification) นั้นได้ผลดีในการดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้งานบนแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ การใช้หลายช่องทางในการส่งแคมเปญไปพร้อม ๆ กัน ทั้งในแอปพลิเคชันและนอกแอปพลิเคชัน (เช่น อีเมล, SMS) แบบ Cross-Channel Messaging ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมและอยู่กับเราได้นานขึ้นอีกด้วย 3. เริ่มให้ความสำคัญในด้านของความคิดสร้างสรรค์ของแคมเปญการตลาดที่มากขึ้น ปัญหาหลักของนักการตลาดของธุรกิจด้านการเงิน คือ ขาดเครื่องมือที่ทันสมัย ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดให้เป็นไปตามที่ต้องการ นักการตลาดหลายคนในวงการด้านการเงินบอกว่า เครื่องมือที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ ไม่สามารถช่วยให้คิดไอเดียใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่เป็นอุปสรรค ก็คือ เน้นผลลัพธ์ตัวเลขมากเกินไป: ธุรกิจประเภทนี้มักจะให้ความสำคัญกับตัวเลขต่าง ๆ เช่น ยอดขาย ยอดดาวน์โหลด มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับไอเดียใหม่ ๆ ที่อาจจะยังวัดผลได้ยากในตอนแรก วัดผลความคุ้มค่าของไอเดียยาก: นักการตลาดไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าไอเดียใหม่ ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมานั้นจะสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้มากน้อยแค่ไหน...
Continue readingคู่มือฉบับเต็ม! สร้างกลยุทธ์ Email Marketing อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) เป็นหนึ่งในการส่งข้อความบนช่องทางดิจิทัลแบบดั้งเดิม ที่มีผลตอบแทนจากการลงทุนสูง เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ จึงเป็นวิธีที่มีพลังในการเข้าถึง สร้างการมีส่วนร่วม และเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าได้ พวกเราส่วนใหญ่ส่งอีเมลเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าแอปแชท โปรแกรมส่งข้อความบนมือถือรวมถึงโซเชียลมีเดียจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อีเมลยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อ จากผลสำรวจในปี 2022 มีผู้ใช้อีเมล 4.26 พันล้านคนทั่วโลก และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.73 พันล้านคนภายในปี 2026 แม้ว่าอีเมลจะมีความเรียบง่าย แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าอีเมลเป็นช่องทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งที่สุด: ที่อยู่ของอีเมลสามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวางและสร้างผลกำไรมหาศาล เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผลหลายประการ (เช่น ข้อมูล ข้อเสนอ ชุมชน และการซื้อขาย) ดังนั้นธุรกิจจะใช้อีเมลในการเชื่อมต่อกับลูกค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร? บทความนี้จะกล่าวถึง ความสำคัญของการทำ Email Marketing วิธีการกำหนดกลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว วิธีวัดประสิทธิภาพและแสดงตัวอย่างแคมเปญเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจของคุณ เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! กลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) คืออะไร? กลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) คือ กระบวนการที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านช่องทางอีเมล โดยกลยุทธ์นี้จะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอีเมลที่จะส่ง จำนวนอีเมลที่จะส่ง ส่งไปหาใครและส่งเมื่อไหร่ เพื่อให้กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากที่สุดจะต้องประกอบไปด้วย 1. การตั้งเป้าหมายและวิธีวัดผล การตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้นักการตลาดรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร? และทำเพื่ออะไร? และเราจะวัดผลอย่างไร? เพื่อให้ง่ายต่อการดูว่าแคมเปญหรืออีเมลที่เราส่งไปหาลูกค้านั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ กลยุทธ์แบบใดที่ใช้ได้ผล อะไรที่ไม่ได้ผล ทำให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์ Email Marketing ที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งขึ้นได้ 2. ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ หากคุณต้องการให้ลูกค้ารักและภักดีกับแบรนด์ของคุณ การทำความเข้าใจถึงความต้องการและบุคลิกของลูกค้า คือ กุญแจสำคัญ ยิ่งถ้าคุณสามารถแบ่งกลุ่มอีเมลของลูกค้าตามความต้องการหรือบุคลิกของพวกเขาได้ละเอียดมากเท่าไหร่ คุณก็จะมีโอกาสในการสร้างประสบการณ์ที่ดีแบบ Personalized และความภักดีต่อแบรนด์ของคุณได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะลูกค้าจะรับรู้ได้ว่าคุณให้ความสำคัญกับพวกเขา รู้ว่าเขาต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไรจากแบรนด์ของคุณ 3. การแบ่งกลุ่มลูกค้า เครื่องมือการสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบเฉพาะตัว (Personalized Customer Engagement Platform) อย่าง Braze ช่วยให้นักการตลาดสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าและส่งข้อความที่มีความละเอียดและเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้าบางคนมักมีส่วนร่วมดีกับแบรนด์ในตอนเช้า ลูกค้าบางคนไม่ต้องการโฆษณาที่เกี่ยวกับการขายเลยหรือลูกค้าบางกลุ่มจะเปิดเฉพาะโปรโมชันที่เกี่ยวกับรองเท้าเท่านั้น พบว่ายิ่งคุณมีข้อมูลมากเท่าไร คุณก็ยิ่งสามารถส่ง Email Marketing ถึงกลุ่มลูกค้าได้ละเอียดและตรงกับความต้องการยิ่งขึ้นเท่านั้น 4. การผสาน Email...
Continue readingปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์! สร้างการตลาดที่ตรงใจลูกค้าด้วย Sage AI จาก Braze
เมื่อปลายปี 2023 ที่ผ่านมา Braze แพลตฟอร์ม Martech ที่มุ่งเน้นในการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้เปิดตัว Sage AI by Braze™ ที่มาช่วยเสริมพลังให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ในการยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้า ฟีเจอร์ของ Sage AI by Braze™ หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น BrazeAI™ ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักการตลาดให้สามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่หลากหลายและครอบคลุมแบบเรียลไทม์ ช่วยเร่งการตัดสินใจที่ชาญฉลาดในทุกการเดินทางของลูกค้า เช่น แนะนำสินค้าและบริการให้ตรงกับลูกค้าแต่ละคน การคาดการณ์และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่มีความซับซ้อนระดับองค์กร การสร้างแรงบันดาลใจด้านความคิดสร้างสรรค์และการกระตุ้นให้ลูกค้ามีโอกาสและมูลค่าการซื้อที่สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเราจะมาเจาะลึกแต่ละฟีเจอร์ให้ทุกท่านเห็นภาพกันมากขึ้นเริ่มกันที่ 1. แนะนำสินค้าและบริการที่ใช่สำหรับลูกค้าทุกคน (Recommend the right items for every customer) การเสนอสินค้าหรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกค้า เป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้ลูกค้าสูญเสียความไว้วางใจและออกห่างจากแบรนด์ของเราไป ยิ่งเราอยู่ในยุคที่แบรนด์กำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างความไว้วางใจและความภักดีให้กับลูกค้า แต่การที่แบรนด์จะสามารถแนะนำสินค้าและบริการให้กับลูกค้าทุกคน เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกจำนวนมาก ที่มีความซับซ้อนและใช้เวลานาน Braze จึงได้พัฒนาฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในการสร้างคำแนะนำสินค้าและบริการที่ส่งไปยังทุกช่องทางได้แบบเฉพาะตัว เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าแบบข้ามช่องทางได้ (Cross-channel Marketing) และยังใช้ในกรณีอื่น ๆ อย่างเช่น แนะนำสินค้าที่ได้รับความนิยมหรือสินค้าที่คุณสนใจล่าสุด โดยนักการตลาดสามารถ: นำเสนอสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละรายได้ตรงใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและมูลค่าที่สูงขึ้น โปรแกรมถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและพร้อมใช้งานได้ทันที เพียงสร้างร่วมกับ Workflows ของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ยุ่งยากและซับซ้อน กระตุ้นผลลัพธ์ให้ดีขึ้นด้วยการแนะนำสินค้าหรือบริการที่ตรงใจลูกค้า ส่งผลให้เกิด Conversion สูงสุด แนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า บวกกับช่วงเวลาที่ใช่ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับการออกสินค้าใหม่ เพื่อต่อยอดและเพิ่มยอดขายจากลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มยอดขายจากลูกค้าใหม่และลดอัตราการสูญเสียลูกค้าให้น้อยลง 2. ปรับแต่งให้เฉพาะตัวในทุกก้าวของการเดินทาง (Personalize every step of every journey) เพื่อให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจกับลูกค้าได้ ลูกค้าจะต้องรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่และแบรนด์รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ซึ่งการใช้เพียงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ อายุ เพศหรือที่อยู่นั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณโดดเด่นกว่าคู่แข่งได้อีกต่อไป ซึ่งฟีเจอร์ Braze Personalization Paths จะช่วยวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมเชิงลึกและการเดินทางของลูกค้าแต่ละคน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับแต่งแคมเปญการตลาดให้เหมาะกับแต่ละคนอย่างแท้จริง ทั้งข้อความ รูปภาพ โปรโมชัน เวลาในการส่งหรือช่องทางที่ส่งไปหาลูกค้า...
Continue readingรู้จัก 4 วิธี เก็บข้อมูลลูกค้าแบบมืออาชีพ ขับเคลื่อนการตลาดให้ปัง!
ทุกวันนี้ ‘ข้อมูล’ เรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติอันล้ำค่าสำหรับการทำธุรกิจ เพราะธุรกิจในทุกวันนี้แทบจะต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ ถ้าหากธุรกิจของคุณไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ นั่นอาจทำให้ธุรกิจของคุณสูญเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้ธุรกิจหยุดชะงักจนไปถึงการปิดตัวลงไปเลยก็ได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลในปัจจุบันก็มีหลากหลายแบบหลากหลายวิธี และแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ที่แตกต่างกันออกไป โดยในบทความนี้เราจะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักการเก็บข้อมูลว่ามีกี่วิธี? อะไรบ้าง? พร้อมยกตัวอย่างการเก็บข้อมูลแต่ละวิธีให้ทุกท่านเห็นภาพกันแบบชัด ๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน! วิธีของการเก็บข้อมูลในปัจจุบันมี 4 ประเภทดังนี้ ภาพจาก Bloomreach Zero-Party Data (ข้อมูลศูนย์กลาง) เป็นการเก็บข้อมูลโดยตรงจากลูกค้าที่เต็มใจมอบให้กับแบรนด์ผ่านการทำแบบสำรวจ แบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ การตอบคำถามจากการเล่นเกมที่ธุรกิจหรือแบรนด์จัดขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกค้ามา การตั้งค่าความยินยอมก่อนที่จะสมัครเป็นสมาชิกบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมสะสมคะแนนต่าง ๆ ตัวอย่าง Zero-Party Data ลูกค้าบอกไซส์และสไตล์เสื้อผ้าที่ต้องการตอนสมัครสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนของร้านขายเสื้อผ้า ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องโปรดในช่องทางสตรีมมิ่ง การเลือกประเภทอาหาร “มังสวิรัติ” ในแอปพลิเคชันส่งอาหาร ข้อดีของ Zero-Party Data เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความแม่นยำ เนื่องจากลูกค้าเป็นผู้ให้ข้อมูลโดยตรง จึงสะท้อนถึงความชอบและความสนใจที่แท้จริงของลูกค้าได้ ความปลอดภัยในการใช้งานสูง เพราะลูกค้ายินยอมและให้สิทธิ์ในการรวบรวมข้อมูลกับแบรนด์อย่างชัดเจน ข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจะช่วยให้คุณสามารถสร้างความไว้วางใจและความภักดีกับลูกค้าได้ง่ายและดียิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ Personalized กับลูกค้า เป็นการยกระดับการมีส่วนร่วมให้ดีขึ้น และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดให้กับแบรนด์ของคุณ ข้อเสียของ Zero-Party Data เป็นข้อมูลที่ต้องอาศัยการให้ข้อมูลจากลูกค้า ซึ่งบางครั้งอาจจะได้มาไม่ครบถ้วน แบรนด์ต้องใช้ความพยายามและเวลาในการรวบรวมข้อมูล ต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าแบ่งปันข้อมูลให้กับแบรนด์ให้ได้ คลิก เพื่ออ่านบทความทำความรู้จัก Zero-Party Data แบบเจาะลึก ได้ที่นี่ First-Party Data (ข้อมูลปฐมภูมิ) เป็นการเก็บข้อมูลที่แบรนด์ได้รวบรวมมาจากลูกค้าโดยตรงผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีด้วยตัวเอง เพื่อให้แบรนด์สามารถระบุตัวตน พฤติกรรม ความต้องการ และประวัติของลูกค้า ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าแต่ละคนได้ ตัวอย่าง First-Party Data ประวัติการซื้อสินค้า ยอดชำระ และวันที่ลูกค้าซื้อสินค้าบนช่องทางร้านค้าออนไลน์ พฤติกรรมการเข้าดูเว็บไซต์ ระยะเวลาที่อยู่ในหน้าจอของลูกค้าบนเว็บไซต์บริษัทจองตั๋วเครื่องบิน จำนวนครั้งที่ลูกค้าเปิดแอปฟิตเนสและการคลิกวิธีที่ต้องการออกกำลังกาย ข้อดีของ First-Party Data ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์และมีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า แบรนด์เป็นเจ้าของข้อมูลนี้โดยตรง สามารถควบคุมวิธีการใช้ข้อมูลได้ตามความต้องการ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการได้รับข้อมูลเหล่านี้มา สามารถนำข้อมูลมาสร้างการตลาดที่เฉพาะตัว แบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานได้ ข้อเสียของ First-Party Data ต้องให้ความสำคัญกับมาตรการในการรวบรวมข้อมูลจะต้องมีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎระเบียบ แบรนด์ต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน...
Continue readingรู้จัก Zero-Party Data กลยุทธ์เก็บข้อมูลลูกค้าด้วยความเต็มใจ
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Zero-Party Data คืออะไร? Zero-Party Data คือ ข้อมูลที่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานจงใจและเต็มใจแบ่งปันให้กับธุรกิจหรือแบรนด์โดยตรง ทาง Forrester ให้คำจำกัดความไว้แบบนี้ ซึ่งในบางกรณีลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากธุรกิจหรือแบรนด์เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกัน ข้อมูลเหล่านี้สามารถเก็บได้จากการทำแบบสำรวจต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ การทำแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ หรืออาจเป็นคำตอบจากลูกค้าที่ตอบมาเพื่อเล่นเกมที่ธุรกิจหรือแบรนด์นั้น ๆ จัดขึ้น ภาพจาก stackadapt ความสำคัญของ Zero-Party Data ด้วยความที่ในปัจจุบันมีกฏหมายหรือข้อบังคับมากมายเกี่ยวกับการป้องกันหรือความปลอดภัยของข้อมูล เช่น GDPR, CCPA หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ PDPA ข้อบังคับเหล่านี้ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้ามีความยุ่งยากกว่าเมื่อก่อน หรือถ้าคุณต้องการมองหาข้อมูลจากบุคคลที่สามก็ทำให้มีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย จึงทำให้หลาย ๆ ธุรกิจ เริ่มหันมาทำ Zero-Party Data กันมากยิ่งขึ้น Zero-Party Data ไม่เพียงแต่จะสร้างความปลอดภัยทางด้านข้อมูลให้กับธุรกิจหรือแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีให้กับลูกค้าของคุณอีกด้วย เพราะพวกเขาเชื่อใจได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาอนุญาตและเต็มใจที่มอบให้คุณแล้ว เพื่อให้คุณมอบประสบการณ์ที่ Personalized กับพวกเขาได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิด Conversion หรือการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย ประโยชน์ของ Zero-Party Data มีอะไรบ้าง? 1. ประสบการณ์ที่เฉพาะตัวขั้นสูง (Hyper-Personalized Experiences) จากข้อมูล Zero-Party Data แบรนด์สามารถนำข้อมูลมาต่อยอดในการสร้าง Personalized Marketing โดยปรับแต่งคำแนะนำของสินค้า ข้อความทางการตลาด หรือแม้แต่เนื้อหาต่าง ๆ ให้มีความเฉพาะตัวและเหมาะกับลูกค้าแต่ละคน 2. แคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Effective Marketing Campaigns) เมื่อคุณทำความรู้จักลูกค้าและมีข้อมูลที่เชิงลึกมากขึ้น ช่วยให้คุณสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีผลลัพธ์และมี Conversion ที่สูงขึ้นตามไปด้วย 3. การมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ดีขึ้น (Improve Customer Engagement) จากผลสำรวจพบว่า หากแคมเปญการตลาดหรือเนื้อหาของคุณมีความเฉพาะตัวและตรงใจกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าอยากมีส่วนร่วมหรือแบ่งปันข้อมูลให้กับแบรนด์ของคุณมากขึ้นเช่นกัน จุดเด่นของ Zero-Party Data คืออะไร? อยู่บนพื้นฐานความยินยอม (Consent Based) ลูกค้าเต็มใจให้ข้อมูลนี้แก่แบรนด์ของคุณ โดยมักจะคาดหวังถึงประสบการณ์ที่ดีขึ้นหรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล มีความแม่นยำสูง...
Continue reading